คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4039/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์บางส่วน โดยอ้างว่าที่ดินส่วนนั้นอยู่ในเขตหนองน้ำสาธารณประโยชน์ คำสั่งของจำเลยย่อมมีผลให้โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินส่วนที่ถูกเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยและให้ศาลแสดงสิทธิครอบครองของโจทก์อันมีอยู่เหนือที่ดินดังกล่าว หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีย่อมมีผลให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทกลับคืนมา คดีของโจทก์ในส่วนที่ขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้โจทก์จะมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ให้แก้ไขหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์บางส่วนและขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วยก็ตาม แต่การที่ศาลจะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยจะต้องได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ มิใช่หนองน้ำสาธารณประโยชน์คำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงเป็นคำขออันเป็นประธานเมื่อที่ดินพิพาทมีราคา 82,000 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เลขที่ 60 ตำบลแกใหญ่ อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ 17 ไร่ เป็นของโจทก์เพิกถอนคำสั่งจังหวัดสุรินทร์ที่ 2205/2526 เรื่อง แก้ไขหนังสือรับรองการทำประโยชน์บางส่วน และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป

จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งจังหวัดสุรินทร์ที่ 2205/2526เรื่อง แก้ไขหนังสือรับรองการทำประโยชน์บางส่วนเสีย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 60 ตำบลแกใหญ่ อำเภอเมืองสุรินทร์จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ประมาณ 17 ไร่ จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายที่ดินมีคำสั่งให้แก้ไขเนื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์เฉพาะด้านทิศเหนือเป็นเนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวา โดยอ้างว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์เฉพาะที่ดินส่วนนั้นออกทับหนองน้ำสาธารณประโยชน์ และมีคำขอท้ายฟ้องให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวา เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์บางส่วน โดยอ้างว่าที่ดินส่วนนั้นอยู่ในเขตหนองน้ำสาธารณประโยชน์ คำสั่งของจำเลยย่อมมีผลให้โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินส่วนที่ถูกเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยและให้ศาลแสดงสิทธิครอบครองของโจทก์อันมีอยู่เหนือที่ดินดังกล่าว ย่อมมีผลให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทกลับคืนมา หากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี คดีของโจทก์ในส่วนที่ขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้โจทก์จะมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ให้แก้ไขหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์บางส่วนและขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป ซึ่งเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วยก็ตามแต่การที่ศาลจะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยจะต้องได้ความว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ มิใช่หนองน้ำสาธารณประโยชน์ ดังนั้นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงเป็นคำขออันเป็นประธานเมื่อที่ดินพิพาทมีราคา 82,000 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นหนองน้ำสาธารณประโยชน์”หนองสะแกชำ” ก็ดี และที่ฎีกาว่า โจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยภายใน1 ปี นับแต่โจทก์ทราบคำสั่ง คดีย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 ก็ดี นั้น ล้วนเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของจำเลยมาก็เป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลย

Share