คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1219/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีแรกจำเลยฟ้องโจทก์ขอหย่าและแบ่งสินสมรส ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้หย่าและแบ่งสินสมรสตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องไปแล้ว ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีที่สองว่าที่พิพาทเป็นสินสมรสรวมอยู่ในโฉนดที่ดินสินสมรสแปลงหนึ่งซึ่งเจ้าหนี้ฟ้องบังคับจำนองขายทอดตลาดและโจทก์เป็นผู้ซื้อได้ขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทเป็นชื่อของโจทก์ศาลวินิจฉัยว่าที่พิพาทมิใช่ส่วนหนึ่งของที่ดินสินสมรสตามโฉนดที่เจ้าหนี้ฟ้องบังคับจำนอง ซึ่งโจทก์ซื้อมาพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ว่าที่พิพาทเป็นสินสมรสที่โจทก์จำเลยร่วมกันซื้อมาระหว่างสมรสยังมิได้แบ่งในคดีแรกขอแบ่ง ดังนี้ ฟ้องคดีหลังนี้อ้างเหตุผลคนละอย่างกับคดีที่สอง จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีที่สอง แต่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรก เพราะแม้ว่าทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องคดีหลังนี้จะเป็นคนละอย่างกับคดีแรกซึ่งโจทก์เป็นจำเลยแต่ไม่ได้ให้การหรือฟ้องแย้งแต่คดีนี้ก็เป็นการเรียกทรัพย์จากจำเลยมาแบ่งเป็นสินสมรสเช่นเดียวกัน เป็นประเด็นเดียวกับคดีแรกซึ่งได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148
ปัญหาเรื่องฟ้องซ้ำ เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความจะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นชี้ขาดได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยากัน แต่ได้หย่าขาดจากกันตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง คดีหมายเลขแดงที่ 420/2509 คดีถึงที่สุดแล้ว โดยศาลแพ่งพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากกัน และให้แบ่งสินสมรสตามบัญชีท้ายฟ้อง โดยให้ขายทอดตลาดเอาเงินที่เหลือจากการหักใช้หนี้จำนองแบ่งกันคนละครึ่ง ในระหว่างที่โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน โจทก์จำเลยได้ซื้อที่ดินบางส่วนของโฉนดที่ 18517 เนื้อที่ 10 ตารางวา โดยใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้มีชื่อในโฉนด เมื่อหย่าขาดจากโจทก์แล้วจำเลยใช้สิทธิไม่สุจริตแบ่งแยกที่ดินสินสมรสจำนวน 10 ตารางวาออกจากโฉนดเลขที่ 18517 มาเป็นโฉนดใหม่เลขที่ 29340และไม่ยอมให้โจทก์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลย จำเลยรับโฉนดมายึดถือไว้โดยโจทก์ไม่รู้เห็น ขอให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 29340 ให้แก่โจทก์มีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่ง

จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 8711/2515 ระหว่างนายสำลี บัวมาดี โจทก์ นางสมหญิง สดสมศรี จำเลยซึ่งศาลแพ่งได้พิจารณาชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีแล้ว จำเลยไม่เคยได้รับคำบอกกล่าวจากโจทก์ ที่ดินจำนวน 10 ตารางวาเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ซึ่งโจทก์จำเลยตกลงแบ่งสินสมรสกันเรียบร้อยแล้ว เพราะสินสมรสส่วนอื่น โจทก์ได้รับไปแล้ว คำพิพากษาในคดีฟ้องหย่าหมายเลขแดงที่ 420/2509 ของศาลแพ่งจึงมิได้กล่าวถึง เมื่อโจทก์จำเลยขาดจากการเป็นสามีภริยากันตามคำพิพากษาของศาลแล้ว จึงไม่มีสิทธิจะมาเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 8711/2515 พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า เดิมจำเลยคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย ขอหย่าและขอแบ่งที่ดินสินสมรส 3 แปลง ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องคือที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โฉนดเลขที่ 18518 และโฉนดเลขที่ 27034 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 6155 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา และให้แบ่งที่ดินสินสมรสทั้ง 3 แปลง คดีถึงที่สุด ในชั้นบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 6155 และ 27034 เอาเงินแบ่งกัน ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 420/2509 ของศาลแพ่ง ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 18518 บริษัทธนาคารไทยทนุจำกัด ได้ฟ้องบังคับจำนองขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้จำนอง โจทก์คดีนี้เป็นผู้ซื้อได้ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2782/2508 ของศาลแพ่ง โจทก์จึงฟ้องจำเลยขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 29340 เนื้อที่ 10 ตารางวา ที่แบ่งแยกจากโฉนดเลขที่ 18517 อ้างว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่ดินสมรส ได้ถูกบังคับคดีรวมกับที่ดินโฉนดเลขที่ 18518 นั้นด้วย คดีถึงที่สุดชั้นศาลชั้นต้น วินิจฉัยว่า คดีที่บริษัทธนาคารไทยทนุ จำกัด เป็นโจทก์ฟ้องบังคับจำนองแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 18518 แปลงเดียวเท่านั้น และไม่เชื่อว่าที่ดิน 10 ตารางวาตามโฉนดเลขที่ 29340 เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 8711/2515 ของศาลแพ่ง โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ที่ดินโฉนดเลขที่ 29340 เนื้อที่ 10 ตารางวา ที่พิพาทกันในคดีนี้ ตามสารบัญจดทะเบียนโฉนดเลขที่ 18517 มีชื่อจำเลยร่วมกับนางสมพงษ์ วัฒนวิเชียร และนายทองใบ นิลเอว ซื้อจากนางปราณี เกษมศานติ์ เมื่อ พ.ศ. 2504 โดยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ต่อมาได้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมเป็นโฉนดเลขที่ 29340

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 8711/2515นั้น โจทก์กล่าวฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 29340 เป็นที่ดินสินสมรสที่ถูกบริษัทธนาคารไทยทนุ จำกัด ฟ้องบังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 18518 และบังคับคดีขายทอดตลาดรวมเอาที่ดินโฉนดเลขที่ 29340 มาด้วย โจทก์เป็นผู้ซื้อได้ จึงขอโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 29340 เป็นชื่อของโจทก์ ส่วนคดีนี้โจทก์กล่าวฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้ร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 29340 ในระหว่างเป็นสามีภริยากัน และยังไม่ได้แบ่งที่ดินสินสมรสแปลงดังกล่าว จึงขอแบ่ง เป็นการอ้างเหตุคนละอย่างกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำดังที่ศาลล่างพิพากษาต้องกันมา แต่ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 420/2509เรื่องขอหย่าและขอแบ่งสินสมรสซึ่งโจทก์คดีนี้เป็นจำเลย ก็มิได้ให้การถึง หรือฟ้องแย้งขอให้นำที่ดินสินสมรสโฉนดเลขที่ 29340 มาแบ่งด้วย และในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 420/2509 ศาลได้พิพากษาแบ่งสินสมรสเสร็จสิ้นไปแล้ว แม้ทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งในคดีนี้เป็นทรัพย์คนละอย่างกับคดีก่อน แต่ก็เป็นการเรียกทรัพย์จากจำเลยมาแบ่งเป็นสินสมรสเช่นเดียวกัน เป็นประเด็นเดียวกับคดีก่อน ซึ่งได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องของโจทก์คดีนี้ จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 และปัญหาในเรื่องฟ้องซ้ำนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความจะมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจชี้ขาดในประเด็นข้อนี้ได้

พิพากษายืน

Share