แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีมีแต่ปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 222 แต่ถ้าศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงมา ศาลฎีกาเห็นสมควรก็วินิจฉัยข้อเท็จจริงโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน
ผู้ต้องโทษกักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29ในระหว่างรับโทษกักขังอยู่ทำผิดข้อกำหนดตามมาตรา 27 ศาลอาจเปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจำคุกได้
ย่อยาว
คดีนี้ จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา ๒๗, ๒๗ ทวิ ฯลฯลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา ๗๕ ให้กึ่งหนึ่ง ปรับ ๒๑๑,๖๐๒.๒๔ บาท และลดโทษเพราะมีเหตุบรรเทาโทษตามมาตรา ๗๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญาให้อีกกึ่งหนึ่งแล้วปรับจำเลยเป็นเงิน ๑๐๕,๘๐๑.๑๒ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนมีกำหนด ๒ ปี
ต่อมาผู้บังคับกองสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสมุทรปราการผู้ควบคุมดูแลสถานที่กักขังมีหนังสือถึงศาลชั้นต้นว่า จำเลยประพฤติตนฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและวินัยของสถานที่กักขัง กับมีพฤติการณ์เป็นทำนองหาช่องทางเพื่อจะหลบหนี อาจทำความเสื่อมเสียหรือเกิดการเสียหายแก่ทางราชการ จึงขอให้เปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗
ศาลชั้นต้นสอบ จำเลยแถลงรับว่าเป็นความจริงตามที่พนักงานควบคุมสถานที่กักขังรายงาน ศาลชั้นต้นอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๒๗แห่งประมวลกฎหมายอาญา จึงมีคำสั่งให้เปลี่ยนโทษกักขังของจำเลยเป็นโทษจำคุกไว้มีกำหนด ๑ ปี
โจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจเปลี่ยนเป็นโทษจำคุกพิพากษาให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้น บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๒๒๒ แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงมา สำหรับคดีนี้ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อนข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๑๖ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรปรับ ๑๐๕,๘๐๑.๑๒ บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน ๒ ปี จำเลยไม่ชำระค่าปรับ ถูกกักขังแทนค่าปรับ วันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๑๖ จำเลยยื่นคำร้องว่าถูกกักขังอยู่ที่สถานีตำรวจภูธร อำเภอเมืองสมุทรปราการ รวมกับคนอื่นประมาณ ๖๐ คน สุขภาพไม่ดี ขอให้ส่งตัวจำเลยไปกักขังที่เรือนจำ ศาลชั้นต้นสั่งว่าไม่มีอำนาจสั่งตามที่จำเลยขอวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๑๖ ร้อยตำรวจเอกบุญชอบ พุ่มวิจิตร ผู้บังคับกองสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสมุทรปราการมีหนังสือถึงศาลชั้นต้น แจ้งว่าจำเลยประพฤติตนฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและวินัยของสถานที่กักขัง จะหลบหนี ขอให้เปลี่ยนโทษกักขังจำเลยเป็นโทษจำคุก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗ วันเดียวกันนั้น ศาลชั้นต้นเบิกจำเลยมาสอบถาม จำเลยรับว่าประพฤติตนตามที่ร้อยตำรวจเอกบุญชอบพุ่มวิจิตร แจ้งต่อศาล ศาลชั้นต้นพิเคราะห์เห็นว่า จำเลยประพฤติตนฝ่าฝืนต่อระเบียบและวินัยของสถานที่กักขัง จึงสั่งเปลี่ยนโทษกักขังจำเลยเป็นจำคุกไว้ ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗
ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ต้องโทษกักขังแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ ในระหว่างรับโทษกักขังอยู่ทำผิดข้อกำหนดตามมาตรา ๒๗ ศาลอาจเปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจำคุกได้แต่พฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าจำเลยถูกขังมาเพียง ๗ วัน เท่านั้นศาลฎีกาเห็นยังไม่สมควรเปลี่ยนโทษกักขังจำเลยเป็นโทษจำคุก ดังที่ศาลชั้นต้นสั่ง
พิพากษากลับ ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งของศาลชั้นต้นเสีย