คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 402/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีอาญาที่โจทก์ร้องทุกข์กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทและเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอุทธรณ์พิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทยังโต้เถียงสิทธิกันอยู่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นของใคร แม้จำเลยจะเข้าไปไถที่ดินพิพาท ก็ขาดเจตนาบุกรุกจำเลยไม่มีความผิดฐานบุกรุก ดังนี้ ศาลยังไม่ได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของใครข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีอาญาจึงไม่มีผลผูกพันถึงคดีแพ่งซึ่งพิพาทกันภายหลังเกี่ยวกับสิทธิในที่พิพาท.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยทั้งสองบุกรุกขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทมาเกินกว่า 1 ปี โจทก์หมดสิทธิที่จะฟ้อง ขอให้เพิกถอนที่ดินพิพาทออกจาก น.ส.3 ของโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทและให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม 2523 โจทก์ร้องทุกข์กล่าวหาจำเลยทั้งสองต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองกาญจนบุรีว่า บุกรุกที่ดินคือที่พิพาทคดีนี้ศาลจังหวัดกาญจนบุรีพิพากษายกฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่1633/2523 ซึ่งนายสมคิด ปั้นหยา โจทก์ร่วมคดีนั้นได้อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า ‘ที่ดินพิพาทนี้ นายสมคิดโจทก์ร่วมกับนางแต่ง แซ่เฮง จำเลยที่ 1 ยังโต้เถียงสิทธิกันอยู่ ยังไม่ทราบแน่ว่าเป็นที่ดินของใคร ถึงแม้จำเลยทั้งสองจะเข้าไปไถที่ดินพิพาท ก็ขาดเจตนาบุกรุก ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานบุกรุก’ เมื่อคดีอาญายังไม่ได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของใคร ที่จำเลยทั้งสองไม่ผิดฐานบุกรุกนั้นก็เพราะขาดเจตนา ฉะนั้น ข้อเท็จจริงของคำพิพากษาคดีอาญาจึงไม่มีผลผูกพันถึงคดีนี้ และฟังว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share