คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 197/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เจ้าของรถยนต์คันที่ผู้ตายขับขี่และเกิดเหตุชนกับรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่งซึ่งขับด้วยความประมาทไม่ใช่ผู้เสียหาย หรือผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายในความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายแก่กาย ตาม ป.อ. มาตรา 291,390 และความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรพ.ศ. 2522 มาตรา 43,157 จึงไม่อาจขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการได้ แม้คู่ความมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ แต่อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาย่อมยกปัญหาดังกล่าวไปวินิจฉัยได้ จำเลยขับรถยนต์บรรทุกออกจากไหล่ถนนและเลี้ยวขวาทันทีโดยไม่ได้ใช้ความระมัดระวังดู รถที่แล่นมาในช่องทางเดินรถว่ามีรถแล่นมาหรือไม่เป็นเหตุให้ผู้ตายซึ่งขับรถมาในช่องทางดังกล่าว หยุดรถไม่ทันและหักหลบไม่พ้น จึงพุ่งชนท้ายรถจำเลยทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และว.จ.กับอ. ซึ่งนั่งมาในรถที่ผู้ตายขับได้รับอันตรายแก่กายการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 291,300 ลงโทษบทหนักตามมาตรา 291.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
พันตรีวิจิตร ตาปนานนท์ นางปราณี ตาปนานนท์ ผู้เสียหายและนายประสมไทย เชยทอง เจ้าของรถยนต์ที่ชน ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาตศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา291, 390 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 จำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 12ตุลาคม 2525 เวลา 14.30 นาฬิกา นายสงบ ตาปนานนท์ ได้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก-0814 จันทบุรี ซึ่งเป็นรถยนต์ของนายประสมไทย เชยทอง มีพันตรีวิจิตร ตาปนานนท์เด็กหญิงอกนิษฐ์ ตาปนานนท์ และเด็กหญิงจารุวรรณ กรองสุวรรณนั่งมาในรถเพื่อไปกรุงเทพมหานคร เมื่อมาถึงหน้าตลาดนายายอามรถคันที่นายสงบขับพุ่งเข้าชมด้านขวาทางท้ายรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 81-0098 ชลบุรี ซึ่งจำเลยเป็นผู้ขับจะเลี้ยวขวาเพื่อเข้าทางแยกตลาดนายายอามปรากฏตามแผนที่เกิดเหตุหมาย จ.1เป็นเหตุให้นายสงบ ตาปนานนท์ ถึงแก่ความ พันตรีวิจิตร ตาปนานนท์เด็กหญิงอกนิษฐ์ ตาปนานนท์ และเด็กหญิงจารุวรรณ กรองสุวรรณได้รับอันตรายแก่กาย ตามรายงานการชันสูตรพลิกศพและรายงานการตรวจบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง
ปัญหาแรก พันตรีวิจิตร ตาปนานนท์ ผู้เสียหาย นางปราณีตาปนานนท์ ภริยานายสงบผู้ตาย และนายประสมไทย เชยทองเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก-0814 จันทบุรี ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ เฉพาะนาย ประสมไทย เชยทอง เห็นว่าไม่ใช่ผู้เสียหายหรือผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 390 และความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายประสมไทย เชยทอง ซึ่งไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย เข้าเป็นโจทก์ร่วม จึงไม่ถูกต้องแม้คู่ความมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ แต่อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่วกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้
ปัญหาต่อไป ที่โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาว่า จำเลยขับรถยนต์บรรทุกเลี้ยวขวากระทันหัน ก่อนเลี้ยวไม่ได้ขับรถชิดทางด้านขวาของแนวกึ่งกลางของถนน และขับรถโดยประมาท การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามฟ้องนั้น พันตรีวิจิตรโจทก์ร่วมเบิกความว่าเมื่อรถแล่นมาถึงตลาดนายายอาม เห็นรถยนต์บรรทุกจอดอยู่บนไหล่ถนนทางซ้ายมือ จำเลยได้ขับรถบรรทุกเลี้ยวขวาไปฝั่งตรงข้ามในระยะห่างกันประมาณ 40 เมตร นายสงบเบรครถไม่ทัน จึงพุ่งเข้าชนด้านขวาทางท้ายรถยนต์บรรทุก สิบตำรวจเอกสมพร นวลวิจิตรเบิกความว่าขณะเกิดเหตุนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ห่างที่เกิดเหตุ20 เมตร ขณที่จ่ายค่าอาหารเห็นรถยนต์บรรทุกจอดอยู่ แล้วได้ยินเสียงเบรคและเสียงชนเกิดขึ้น ก่อนได้ยินเสียงเบรคเห็นรถบรรทุกน้ำมันแล่นผ่านไปทางจังหวัดจันทบุรี จำเลยเบิกความว่าจำเลยขับรถยนต์จากอำเภอศรีราชาไปบรรทุกหินที่ไร่นายบุญ ถมที่ตลาดนายายอาม แต่ได้ขับรถเลยไปถึงบ้านหนองค้า เมื่อทราบได้ขับรถกลับมาจอดชิดซ้ายที่บ้านนายายอาม ลงไปสอบถามชาวบ้าน เมื่อทราบจึงขับรถออกไปถึงทางแยกได้เปิดไฟเลี้ยวขวา เมื่อรถบรรทุกน้ำมันที่สวนมาแล่นผ่านไปแล้ว จำเลยเข้าเกียร์จะออกรถก็ได้ยินเสียงเบรคและเสียงรถถูกชน และรับว่าตำรวจได้ทำแผนที่เกิดเหตุไว้ตามเอกสารหมาย จ.1 เห็นว่าหากจำเลยได้ขับรถออกมาจากไหล่ถนนและมาชิดทางด้านขวาติดแนวกึ่งกลางถนน ขณะที่จะเลี้ยวขวานายสงบผู้ตายได้ขับรถมาชนรถของจำเลย จุดที่รถชนกันต้องอยู่ใกล้เส้นกึ่งกลางถนนและจะต้องชนท้ายรถคันที่จำเลยขับ แต่จุดที่รถทั้งสองคันชนกันอยู่ห่างเส้นกึ่งกลางถนน และรถคันที่นายสงบผู้ตายขับชนถูกด้านข้างส่วนท้ายตามภาพถ่ายหมาย จ.7 ตามคำเบิกความของสิบตำรวจเอกสมพรซึ่งเป็นคนกลางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายใดว่าเห็นรถยนต์บรรทุกจอดอยู่ต่อมาได้ยินเสียงเบรคและเสียงชนเกิดขึ้นประกอบแผนที่เกิดเหตุภาพถ่ายที่เกิดเหตุและร่องรอยของรถทั้งสองคันที่ชนกันตามภาพถ่ายหมาย จ.2 จ.3 และ จ.7 เชื่อว่าเมื่อรถบรรทุกน้ำมันที่สวนมาแล่นผ่านพ้นไปแล้ว จำเลยได้ขับรถยนต์บรรทุกออกมาจากไหล่ถนนและเลี้ยวขวาทันที โดยไม่ได้ขับรถให้ชิดทางด้านขวาติดแนวกึ่งกลางถนนก่อนจะเลี้ยว และก่อนที่จำเลยจะออกรถเลี้ยวรถไม่ได้ใช้ความระมัดระวังดูรถที่แล่นมาในช่องทางเดินรถว่ามีรถแล่นมาหรือไม่ซึ่งนายสงบผู้ตายได้ขับรถมาในช่องทางดังกล่าว จำเลยได้ขับรถเลี้ยวขวาออกมาในลัษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจรตัดหน้ารถคันที่นายสงบผู้ตายขับมาในระยะห่างกันประมาณ 43 เมตร เมื่อนายสงบผู้ตาย เห็นรถคันที่จำเลยขับเลี้ยวตัดหน้าจึงได้เบรคและหักหลบไปทางด้านซ้าย ปรากฏตามรอยเบรคในแผนที่เกิดเหตุ แต่เนื่องจากเป็นระยะกระชั้นชิดนายสงบผู้ตายหยุดรถไม่ทันและหักหลบไม่พ้น จึงพุ่งเข้าชนด้านขวาส่วนท้ายรถยนต์บรรทุกคันที่จำเลยขับเชื่อว่าจำเลยได้ขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดดังคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมของผู้ร้องที่ 3”.

Share