คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4018/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อศาลพิพากษาและออกคำบังคับแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตาม โจทก์ย่อมขอให้บังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยเพื่อขายทอดตลาด เอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ จำเลยจะยกข้ออ้างว่าโจทก์ตกลง ให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินเป็นแปลงย่อย เพื่อให้ขายได้ง่ายและได้ราคาซึ่งเป็นข้อตกลงที่ทำกันนอกศาล ทั้งยังมีข้อโต้เถียงกันอยู่ว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นแล้วหรือไม่มาเป็นเหตุให้ งด การบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่.

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและหนังสือสัญญาจำนองจำนวน 9,751,842.16 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย วันที่ 22 ตุลาคม 2530 โจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมชำระหนี้ตามฟ้องพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมให้แก่โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่20 เมษายน 2531 ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด ต่อมาจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินรวม 8 แปลง และทรัพย์สินอื่นของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้
จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 24 มิถุนายน 2531 ว่า โจทก์กับจำเลยได้ทำข้อตกลงกันไว้ว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยทำการแบ่งแยกโฉนดที่ดินที่จำนองไว้แก่โจทก์เป็นแปลงย่อยเพื่อจัดสรรโดยยังคงให้ติดจำนองอยู่ เพื่อให้ขายได้ง่ายและได้ราคาซึ่งจำเลยกำลังดำเนินการขอแบ่งแยกอยู่ แต่โจทก์ไม่ยอมให้จำเลยนำโฉนดที่ดินไปทำการแบ่งแยกเป็นการผิดข้อตกลงและมีเจตนาไม่สุจริตสมคบกับบุคคลภายนอกจะซื้อที่ดินในราคาถูก ขอให้ไต่สวนคำร้องเพื่อทราบมูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สินที่ถูกยึดเสียก่อน แล้วมีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดให้จำเลยนำโฉนดที่ดินไปทำการแบ่งแยกเป็นแปลงย่อยโดยติดจำนองแล้วขายทอดตลาดในจำนวนเงินไม่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้านว่า เดิมโจทก์กับจำเลยตกลงกันว่าโจทก์ยอมตามที่จำเลยขอให้จำเลยทำการแบ่งแยกที่ดินเป็นแปลงย่อยเพื่อนำไปขายให้แก่บุคคลภายนอกได้โดยยังคงติดจำนองแก่โจทก์ต่อมาจำเลยไม่มาติดต่อขอรับโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปดำเนินการแบ่งแยกในเวลาอันสมควร โจทก์จึงต้องดำเนินคดีแก่จำเลย และเมื่อจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์จึงขอให้บังคับคดีการกระทำของจำเลยเป็นการประวิงให้ชักช้าขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นนัดพร้อมวันที่ 11 กรกฎาคม 2531 แล้ววินิจฉัยว่ากรณีเป็นเรื่องของการบังคับคดี เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการขายทอดตลาดให้ได้ประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย หากจำเลยเห็นควรให้แบ่งแยกการขายให้ไปดำเนินการต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยให้โจทก์ไปร่วมด้วย มีคำสั่งให้คู่ความไปดำเนินการทางเจ้าพนักงานบังคับคดีก่อน จำเลยยื่นคำคัดค้านคำสั่งดังกล่าวโดยเท้าความถึงคำร้องของจำเลยลงวันที่ 24 มิถุนายน 2531 ขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ เพื่อให้จำเลยนำโฉนดที่ดินไปทำการแบ่งแยกเป็นแปลงย่อยตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยไปดำเนินการทางเจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่มีคำสั่งเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2531
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยขอให้งดการขายทอดตลาดไว้เพื่อให้จำเลยนำโฉนดที่ดินไปทำการแบ่งแยกตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยนั้น เป็นเรื่องขอให้งดการบังคับคดี ข้อที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ตกลงให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินเป็นแปลงย่อยเพื่อให้ขายได้ง่ายและได้ราคา ซึ่งจำเลยกำลังดำเนินการอยู่แต่โจทก์ไม่ยอมให้จำเลยนำโฉนดที่ดินไปทำการแบ่งแยก เป็นการผิดข้อตกลง จึงขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อนนั้น โจทก์คัดค้านว่าจำเลยมิได้ปฏิบัติตามข้อตกลงซึ่งทำกันไว้ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมิได้ดำเนินการแบ่งแยกที่ดินภายในเวลาอันสมควร เห็นว่า เมื่อศาลพิพากษาและออกคำบังคับแล้วจำเลยไม่ปฏิบัติ โจทก์ย่อมขอให้บังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 จำเลยจะยกเอาข้อตกลงที่ทำกันนอกศาลก่อนโจทก์ฟ้องคดีทั้งยังมีข้อโต้เถียงกันอยู่ว่าจำเลยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นแล้วหรือไม่ มาเป็นเหตุให้งดการบังคับคดีตามคำพิพากษาหาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นโดยให้จำเลยไปดำเนินการทางเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน.

Share