คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1513/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้ออุทธรณ์ของผู้ร้องที่ว่าศาลแรงงานกลางรับฟังพยานหลักฐานไม่ถูกต้องตามหลักการพิจารณาคดีแพ่งเพราะตามพยานหลักฐานของผู้ร้องเห็นได้ชัดว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ถูกยึดก็ดี ที่ว่าศาลแรงงานกลางวินิจฉัยข้อเท็จจริงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์ไม่ได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การและศาลไม่ได้กำหนดประเด็นไว้ก็ดี เป็นการหยิบยกพยานหลักฐานเพื่อให้ศาลฎีกาฟังว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นของผู้ร้อง เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 23,906,553.90บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 19 กันยายน 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จ ต่อมาจำเลยทั้งสามไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดโดยอ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 3 นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดตามคำร้องเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นสามี ขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ผู้ร้องอุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหรือไม่ตามพยานบุคคลและพยานเอกสารของผู้ร้อง เห็นได้ชัดว่าผู้ร้องมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินที่โจทก์นำยึด โจทก์เพียงแต่นำสืบว่าผู้ร้องได้ทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดมาในระหว่างที่ผู้ร้องและจำเลยที่ 3 เป็นสามีภริยากัน ที่ศาลแรงงานกลางฟังว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 ไม่ถูกต้องในหลักการพิจารณาความแพ่ง ขณะที่โจทก์นำยึดทรัพย์สินตามคำร้อง ผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 ได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแล้ว และได้มีการตกลงหรือทำนิติกรรมกันว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของผู้ร้องที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 ได้หย่าขาดจากกัน แต่ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าได้มีการแบ่งทรัพย์สินกันเป็นสัดส่วน เป็นการวินิจฉัยที่มิชอบด้วยกฎหมายเพราะในข้อนี้โจทก์มิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การและศาลมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ทั้งการนำสืบของโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของผู้ร้องดังกล่าวเป็นการหยิบยกพยานหลักฐานและเหตุผลต่าง ๆขึ้นอ้างเพื่อให้ศาลฎีกาฟังว่าทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง มิใช่เป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นสามี ซึ่งเป็นการอุทธรณ์โต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางที่ฟังว่าทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดตามคำร้องเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 3อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง

Share