แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
สัญญาที่โจทก์ในฐานะทนายความเรียกร้องค่าจ้างเป็นส่วนแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่ดินที่เป็นมูลพิพาทที่จำเลยที่ 2 แบ่งที่ดินอันจำเลยทั้งสองจะพึงได้รับเป็นที่ดิน 40 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นเงินจากการขายที่ดินพิพาทที่ได้มาทั้งหมดขอแบ่ง 40 เปอร์เซ็นต์ เมื่อจำเลยชนะคดี มีลักษณะเป็นการหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกันซึ่งเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนจึงเป็นโมฆะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 21 พฤศจิกายน 2537 จำเลยทั้งสองร่วมกันว่าจ้างโจทก์ให้เป็นทนายฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2721/2539 ของศาลชั้นต้น ตกลงค่าว่าจ้างจำนวน 2,314,000 บาท ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์และมีทางชนะคดีอย่างแน่นนอน แต่จำเลยกลับถอนฟ้องอุทธรณ์ในวันที่ 17 มีนาคม 2540 คดีถึงที่สุด จำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าว่าจ้าง โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์ขอคิดค่าจ้างกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 1,157,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,157,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 80,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 กันยายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า สัญญาว่าจ้างตามเอกสารหมาย จ.1 เป็นโมฆะหรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาจ้างว่าความเอกสารหมาย จ.1 ระบุว่าจำเลยที่ 1 ได้ตกลงว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความว่าต่างแก้ต่างเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 2935, 4936 ตำบลบางกระบือ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ภายใต้เงื่อนไขว่าจำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์เป็นค่าว่าจ้างทนาย ถ้าเป็นทรัพย์สินที่ดิน 40 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นเงินจากการแบ่งขายที่ดินพิพาทที่ได้มาจาเป็นเงิน 40 เปอร์เซ็นต์ ของทรัพย์สินที่ได้มาทั้งหมดเมื่อเสร็จสิ้นคดีแล้ว โดยโจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับคดีทั้งหมด และมีจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นพยาน เห็นว่า ตามสัญญาดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์เรียกร้องค่าจ้างว่าความจากจำเลยที่ 1 เป็นจำนวนค่าจ้างที่แน่นอน แต่เป็นสัญญาที่โจทก์ในฐานะทนายความเรียกร้องค่าจ้างเป็นส่วนแบ่งเอาส่วนจากทรัพย์สินที่ดินที่เป็นมูลพิพาทที่ 2 แบ่งที่ดินอันจำเลยทั้งสองจะพึงได้รับเป็นที่ดิน 40 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเป็นเงินจากการขายที่ดินพิพาทที่ได้ทั้งหมดขอแบ่ง 40 เปอร์เซ็นต์ เมื่อจำเลยชนะคดีตามสัญญาดังกล่าวซึ่งมีลักษณะเป็นการหาประโยชน์จากการที่ผู้อื่นเป็นความกันซึ่งเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ