แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลจะสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำความผิดนั้นขึ้นและโจทก์ต้องฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดนั้นด้วย ดังนั้นเมื่อไม่ปรากฏว่ามีความผิดฐานเสพกัญชาเกิดขึ้น และโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองมิได้ฟ้องขอให้ลงโทษฐานเสพกัญชา โจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบบ้องกัญชา มีดหั่นกัญชา และไม้ขีดไฟที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานเสพกัญชาหาได้ไม่ มิฉะนั้นโจทก์ย่อมฟ้องจำเลยทั้งสำนวนเพื่อขอให้ริบทรัพย์สินเพียงประการเดียวโดยไม่ขอให้ลงโทษจำเลยก็ย่อมกระทำได้ ซึ่งเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งริบบ้องกัญชามีดหั่นกัญชา และไม้ขีดไฟของกลาง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีกัญชาซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5จำนวน 1 ถุง น้ำหนัก 1.36 กรัม ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมายเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยกัญชาที่จำเลยมีไว้เป็นความผิดดังกล่าว พร้อมบ้องกัญชาทำด้วยขวดแก้ว 1 บ้อง มีดหั่นกัญชา 1 เล่มและไม้ขีดไฟ 1 กล่อง อันเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ซึ่งจำเลยมีไว้เพื่อใช้เสพกัญชาเป็นของกลาง กัญชาของกลางหมดไปในการตรวจพิสูจน์ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7,8, 26, 76 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 และสั่งริบบ้องกัญชา 1 บ้องมีดหั่นกัญชา 1 เล่ม ไม้ขีดไฟ 1 กล่อง ของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 26, 76 จำคุก 6 เดือนปรับ 700 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน ปรับ 350 บาท โทษจำคุกให้ยก ยกคำขอให้ริบของกลางเพราะของกลางที่ขอให้ริบไม่ใช่มีไว้หรือใช้ในการกระทำผิดฐานมีกัญชา โจทก์อุทธรณ์ขอให้ริบของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ศาลมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด เว้นแต่ทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด คำว่า “มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด” บ่งชี้ว่าต้องมีความผิดเกิดขึ้นศาลจึงจะมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินได้ นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18(5) การริบทรัพย์เป็นโทษอย่างหนึ่งสำหรับลงแก่ผู้กระทำความผิด จึงเห็นได้ว่าศาลจะสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำความผิดนั้น และโจทก์ต้องฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดนั้นด้วย ในคดีนี้ไม่ปรากฏว่ามีความผิดฐานเสพกัญชาเกิดขึ้นและโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพกัญชา โจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบบ้องกัญชา มีดหั่นกัญชา และไม้ขีดไฟที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานเสพกัญชาหาได้ไม่ มิฉะนั้นโจทก์ย่อมฟ้องจำเลยทั้งสำนวนเพื่อขอให้ริบทรัพย์สินเพียงประการเดียวโดยไม่ขอให้ลงโทษจำเลยก็ย่อมกระทำได้ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 ด้วยเหตุผลดังกล่าว ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งริบบ้องกัญชามีดหั่นกัญชา และไม้ขีดไฟของกลาง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ชอบแล้ว”
พิพากษายืน