แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์และจำเลยทำกันไว้ในคดีแรกยอมรับกันว่าที่ดินโจทก์ทางด้านทิศเหนือมีแนวเขตติดต่อกับที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใต้ เช่นนี้เท่ากับโจทก์ยอมรับแล้วว่าแนวเขตที่ดินของจำเลยถูกต้องมิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ เมื่อคดีแรกได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความถึงที่สุดไปแล้ว การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยอีกโดยกล่าวอ้างว่า โฉนดที่ดินจำเลยด้านทิศใต้ออกทับที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือ ประเด็นในคดีแรกกับประเด็นในคดีหลังจึงเป็นประเด็นที่วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์ในคดีหลังจึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรก.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินของจำเลยได้มีการแบ่งแยกและออกโฉนดไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้โฉนดที่ดินของจำเลยทางด้านทิศใต้ออกทับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือบางส่วน ขอให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินให้เจ้าพนักงานที่ดินแก้ไขให้ถูกต้อง และมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยให้การว่า การรังวัดแบ่งแยกออกโฉนดที่ดินของจำเลยถูกต้อง มิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 308/2520
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีข้อวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรกหรือไม่ เมื่อพิจารณาสัญญาประนีประนอมยอมความที่โจทก์และจำเลยทั้งสองทำกันไว้ ในคดีแรกประกอบแผนที่วิวาทแล้วโจทก์และจำเลยทั้งสองยอมรับกันไว้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความว่าแนวเขตที่ดินโจทก์ด้านทิศเหนือซึ่งอยู่ติดกับที่ดินจำเลยทั้งสองด้านทิศใต้ทั้ง 4 โฉนดมีแนวเขตตามเส้นสีเขียวในแผนที่วิวาทนั้นดังนี้ ที่ดินของจำเลยทั้งสองด้านนี้ จึงหาได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ไม่ เมื่อคดีแรกศาลชั้นต้นได้พิพากษาถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้กล่าวอ้างว่า โฉนดที่ดินจำเลยทั้งสองทั้ง 4 โฉนด ด้านทิศใต้ออกทับที่ดินโจทก์ ด้านทิศเหนืออีก ดังนี้ประเด็นในคดีแรกกับประเด็นในคดีนี้ จึงเป็นประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรก ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 วรรคแรก
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.