คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4004/2543

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกลับคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสามเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยทั้งสาม กับขอให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2เนื่องจากโจทก์ยื่นคำขอให้ศาลสั่งว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การเกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดยื่นคำให้การ โดยขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ จำเลยทั้งสามจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229
จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายการที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน1,425,408.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน1,094,829.83 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ซึ่งต้นเงินดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้กู้เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์จำเลยที่ 1 และที่ 3 จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 76263 และที่ดินโฉนดเลขที่ 21605พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามบังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

จำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การ

ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าจำเลยทั้งสามไม่ติดใจอ้างตนเองเป็นพยาน

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,425,408.71 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงิน 1,094,829.83 บาทนับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1ไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 21605 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดบังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยที่ 2และที่ 3 ร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในต้นเงิน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 76263อันเป็นทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หาได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปรากฏว่าคดีนี้จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งกลับคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยทั้งสามเลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยทั้งสามกับให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 เนื่องจากโจทก์ยื่นคำขอให้ศาลสั่งว่าจำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การเกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันครบกำหนดยื่นคำให้การโดยขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ จำเลยทั้งสามจึงต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 แต่จำเลยทั้งสามยื่นอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์ จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบที่จะปฏิเสธไม่รับวินิจฉัย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และถือไม่ได้ว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสามเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 และยกฎีกาของจำเลยทั้งสาม คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยทั้งสาม

Share