คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4000/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์ และเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อการที่จำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยละเมิดเดือนละห้าร้อยบาท โดยอ้างว่าที่ดินของโจทก์ดังกล่าวอาจให้เช่าได้เดือนละ 500 บาท เป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลในกรณีอื่นให้ออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ซึ่งต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงเว้นแต่จำเลยจะกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คดีนี้จำเลยต่อสู้ว่าบ้านของจำเลยปลูกอยู่ นอกเขตที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย หาได้ต่อสู้ว่าที่พิพาทที่จำเลยปลูกบ้านเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยไม่ ถือไม่ได้ว่าจำเลย กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คดีจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ที่จำเลยฎีกาว่าบ้านจำเลยมิได้ปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์แต่ปลูก อยู่ใน ที่ดินของกรมชลประทาน เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๔๔๖ จำเลยเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ ๓๙/๑ ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนี้ โจทก์บอกกล่าวให้รื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนถึงวันฟ้อง๒,๐๐๐ บาท และเดือนละ ๕๐๐ บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไป
จำเลยให้การว่า บ้านเลขที่ ๓๙/๑ ของจำเลยปลูกอยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านออกจากที่พิพาทและให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์และเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อการที่จำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยละเมิดเป็นเงินเดือนละห้าร้อยบาทโดยอ้างว่า ที่ดินของโจทก์ดังกล่าวอาจให้เช่าได้เดือนละ๕๐๐ บาทเป็นคดีฟ้องขับไล่บุคคลในกรณีอื่นให้ออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ ซึ่งต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง เว้นแต่จำเลยจะกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คดีนี้จำเลยเพียงแต่ต่อสู้ว่าบ้านเลขที่ ๓๙/๑ ของจำเลยปลูกอยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย หาได้ต่อสู้ว่าที่พิพาทที่จำเลยปลูกบ้านเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยไม่ ดังนั้นจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คดีนี้จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จำเลยฎีกาว่าบ้านเลขที่ ๓๙/๑ ของจำเลยมิได้ปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ดังที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา แต่ปลูกอยู่ในที่ดินของกรมชลประทาน เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลย

Share