คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 400/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีก่อน คำฟ้องของโจทก์ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า ส. ซึ่งเป็นภริยาของบุตร ท. สัญญายกที่ดินพิพาทให้โจทก์ ส่วนฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นการยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์แต่ต้นโดยได้รับการให้จาก ท. มารดาของโจทก์ ถึงแม้คำขอของโจทก์ในคดีก่อนและคดีนี้จะขอให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งเหมือนกันก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยในคดีก่อนกับประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนและไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 63986 ดังกล่าวทางด้านทิศเหนือเนื้อที่ 16 ไร่ 91.5 ตารางวาให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 966/2549 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษา ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 966/2549 ของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอให้แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 63986 ตำบลขุนทะเล อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง เนื้อที่ 16 ไร่ 91.5 ตารางวา ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีถึงที่สุด มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า ในคดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามหนังสือแสดงการทำประโยชน์ (น.ค.3) เลขที่ 801 นางเสน่ห์ มารดาของจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองขุนทะเลยกให้โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทกึ่งหนึ่ง และทำบันทึกให้ถ้อยคำตกลงยินยอมต่อนิคมสร้างตนเองขุนทะเลว่าหากที่ดินพิพาททางราชการออกโฉนดแล้วจะแบ่งแยกให้แก่โจทก์ ตามบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 28 พฤษภาคม 2540 ปี 2544 ทางราชการออกโฉนดที่ดินพิพาทเลขที่ 63986 ต่อมาปี 2547 นางเสน่ห์ถึงแก่ความตาย โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองไปแบ่งแยกที่ดินพิพาทแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นการยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่านางเสน่ห์สัญญายกที่ดินพิพาทให้โจทก์ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่า นางทา นายบุญหลง และโจทก์ร่วมกันเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2493 ต่อมาปี 2511 ทางราชการประกาศให้เป็นเขตนิคมสร้างตนเองขุนทะเล ก่อนที่นางทาถึงแก่ความตายในปี 2526 ได้ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์และนายบุญหลงคนละกึ่งหนึ่ง โจทก์และนายบุญหลงแยกการครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นส่วนสัดตลอดมาโดยโจทก์ครอบครองด้านทิศเหนือ นายบุญหลงครอบครองด้านทิศใต้ หลังจากนั้นนายบุญหลงไม่สามารถประกอบกิจการงานได้และเป็นคนพิการ โจทก์จึงยินยอมให้นางเสน่ห์ภริยานายบุญหลงเข้าเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองขุนทะเลแทนนางทา โดยนางเสน่ห์ยอมรับว่าโจทก์เป็นเจ้าของรวมที่ดินที่พิพาทกึ่งหนึ่ง หากทางราชการออกโฉนดที่ดินแล้วจะแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ปรากฏตามบันทึกถ้อยคำรับรองข้อตกลงยินยอมในการแบ่งแยกที่ดินของนางเสน่ห์ สมาชิกนิคมขุนทะเล เมื่อได้รับโฉนดที่ดินและครบกำหนดเวลามีสิทธิ์ที่จะแบ่งแยกได้ออกเป็น 2 ส่วน เท่ากัน ต่อเจ้าหน้าที่นิคมสร้างตนเองขุนทะเลและหนังสือแสดงการทำประโยชน์ ต่อมาทางราชการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 63986 ให้แก่นางเสน่ห์ และมีกำหนดห้ามโอน 5 ปี เมื่อพ้นกำหนดแล้ว โจทก์บอกกล่าวจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นทายาทของนางเสน่ห์แบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นการยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์มาแต่ต้นโดยได้รับการให้จากนางทามารดาของโจทก์ ถึงแม้คำขอของโจทก์ในคดีก่อนและคดีนี้จะขอให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 63986 ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งเหมือนกันก็ตาม ก็ยังถือไม่ได้ว่าประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยในคดีก่อนกับประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยในคดีนี้อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่ง หมายเลขแดงที่ 966/2549 ของศาลชั้นต้นและไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 กับคำสั่งงดสืบพยานของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share