คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 22850/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ตามสัญญาจ้างเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าบกระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 5 ข้อ 4 เกี่ยวกับการส่งมอบงานงวดที่ 3 อันเป็นงวดสุดท้าย คู่สัญญาทั้งผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างต้องมีการทดลองระบบทุกระบบที่ติดตั้งให้คณะกรรมการตรวจการจ้างรับว่าใช้ราชการได้ดี แต่ในการตรวจรับงานงวดที่ 3 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ไม่ได้ทำการทดลองทุกระบบ รวมทั้งไม่ได้ทดลองจ่ายไฟฟ้าบกให้แก่เรือรบหลวงตามสัญญาอันจะทำให้ทราบว่าระบบไฟฟ้าบกใช้ราชการได้ดีหรือไม่ และต่อมาเมื่อมีการใช้ระบบไฟฟ้าบกแก่เรือรบหลวง ปรากฏว่าไม่สามารถใช้ได้ตามสัญญา เป็นเหตุให้เรือรบหลวง 5 ลำ ต้องเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในเรือซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น ค่าบำรุงรักษา และค่าสึกหรอของเครื่องยนต์กำเนิดไฟฟ้าสูงกว่าการใช้ระบบไฟฟ้าบกเป็นเงิน 4,591,790.07 บาท นั้น เห็นได้ว่า คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 5 ปฏิบัติตามสัญญาจ้างเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าบกไม่ครบถ้วน และไม่มีประสิทธิภาพตามสัญญา อันเป็นการปฏิบัติผิดสัญญา และเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากเหตุที่ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างทำของ ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงเป็นกรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 ที่บัญญัติให้มีกำหนดอายุความ 10 ปี โดยสิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องดังกล่าวมิใช่สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 5 รับผิดเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องในตัวทรัพย์อันจะมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 601 แต่อย่างใด ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์รับมอบงานจากจำเลยที่ 5 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2531 วันดังกล่าวจึงเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้จากการที่จำเลยที่ 5 ผิดสัญญา การที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 5 เพราะเหตุปฏิบัติผิดสัญญาต่อโจทก์ในวันที่ 25 กันยายน 2540 จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 5 ให้ติดตั้งระบบไฟฟ้าบกก็เพื่อให้สามารถส่งกระแสไฟฟ้าจากภาคพื้นดินให้แก่เรือรบหลวงที่จอดเทียบท่าเทียบเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ ทำให้เรือรบหลวงนั้นไม่ต้องใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้ต้องสิ้นเปลืองค่าน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น และเครื่องยนต์สึกหรอ และงานการติดตั้งระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าตามรูปแบบที่กำหนดตามสัญญาดังกล่าวก็มีรายละเอียดมาก ทั้งงานทั้งระบบก็มีมูลค่าค่าจ้างสูงถึง 5,600,000 บาท ย่อมมีเหตุผลที่โจทก์จะต้องตรวจสอบระบบและอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดให้ใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ในการจ้างติดตั้งระบบไฟฟ้าบกดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพสมบูรณ์ โดยมีการกำหนดเป็นข้อสัญญาว่า ต้องมีการทดลองระบบไฟฟ้าที่ติดตั้งทุกระบบ ให้คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจสอบและรับว่าใช้ราชการได้ดีด้วยนั้นเป็นข้อสำคัญที่จำเลยที่ 5 ต้องปฏิบัติตามข้อสัญญานี้ โดยต้องทดลองในสภาพเช่นเดียวกับการใช้งานจริงตามวัตถุประสงค์ของสัญญาที่มีการจ่ายกระแสไฟฟ้าผ่านระบบนี้ให้แก่เรือรบหลวงด้วย มิใช่เพียงทดลองตรวจสอบระบบที่ติดตั้งโดยไม่ต้องทดลองจ่ายไฟฟ้าแก่เรือรบหลวงดังที่จำเลยที่ 5 ให้การแต่อย่างใด จำเลยที่ 5 มิได้ทดลองจ่ายไฟฟ้าตามระบบที่ติดตั้งนี้ให้แก่เรือรบหลวงที่จอดเทียบท่าเทียบเรือแหลมเทียนว่าใช้งานได้เรียบร้อยดีหรือไม่ ย่อมเป็นการที่จำเลยที่ 5 ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามข้อสัญญาดังกล่าว อันเป็นการปฏิบัติผิดสัญญาแล้ว
คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 363/2537 ของศาลทหารกรุงเทพ ซึ่งกองทัพเรือโจทก์ในคดีนี้เป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 โดยอัยการศาลทหารกรุงเทพดำเนินคดีแทนโจทก์ ดังนั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในคดีอาญาจึงเป็นคู่ความเดียวกันกับคดีนี้ และปัญหาข้อเท็จจริงในคดีอาญาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์คดีนี้หรือไม่ จึงเป็นประเด็นโดยตรงที่โจทก์นำมาฟ้องในทางแพ่งเป็นคดีนี้ ขอให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันรับผิดในมูลละเมิดอันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในคดีอาญาดังกล่าว และปรากฏตามคำพิพากษาคดีอาญาว่า มีการกล่าวอ้างและสืบพยานหลักฐานในปัญหาข้อเท็จจริงนี้แล้ว ซึ่งในที่สุดศาลทหารกรุงเทพก็ได้วินิจฉัยถึงสัญญาจ้างเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าบกว่า คณะกรรมการตรวจการจ้างมีหน้าที่ต้องให้ผู้รับจ้างทดลองระบบทุกระบบรวมถึงการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่เรือด้วย และวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้รับจ้างไม่ได้ทดลองระบบทุกระบบต่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจการจ้าง และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไม่ได้ทดลองจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่เรือ ทั้ง ๆ ที่ในวันตรวจรับงานมีเรือจอดที่ท่าเทียบเรือ การตรวจรับงานงวดที่ 3 ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเหตุให้ทางราชการกองทัพเรือได้รับความเสียหาย และเมื่อคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามสิทธิเรียกร้องในมูลละเมิดที่เกิดจากการกระทำความผิดอาญาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในคดีดังกล่าว คดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งศาลทหารกรุงเทพได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาของศาลทหารกรุงเทพจึงย่อมมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในคดีนี้ และศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาของศาลทหารกรุงเทพดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 มาตรา 54 จึงต้องฟังว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จงใจกระทำละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ตามคำฟ้อง
สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการยื่นฟ้องคดีแพ่งคดีนี้ย่อมเป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดอันมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/32 และ ป.วิ.อ. มาตรา 51 วรรคสาม ไม่ใช่มีกำหนดอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือ 10 ปี นับแต่วันทำละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด
ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์นั้น ไม่ใช่กรณีที่ต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญาของศาลทหารกรุงเทพ หากแต่ต้องพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในทางแพ่งเกี่ยวกับความรับผิดในค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 47 วรรคหนึ่ง และ ป.พ.พ. มาตรา 424
จำเลยที่ 5 ไม่ได้ทดลองจ่ายไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าบกแก่เรือจริง แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ก็ยังยอมรับมอบงานและรับรองว่างานถูกต้องตามสัญญาอันเป็นการเอื้อต่อการปฏิบัติผิดสัญญาของจำเลยที่ 5 โดยมิชอบ จนเกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในเรือรบหลวงในช่วงเวลาที่ต้องตรวจสอบเหตุบกพร่องของระบบไฟฟ้าบกที่จำเลยที่ 5 รับจ้างโจทก์ติดตั้ง อันมีเหตุแห่งความเสียหายและลักษณะแห่งความเสียหายเดียวกัน ย่อมมีผลให้มีจำนวนค่าเสียหายจำนวนเดียวกัน โดยตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ก็ไม่มีเหตุที่ควรกำหนดค่าเสียหายแตกต่างกัน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท เช่นเดียวกับที่จำเลย ที่ 5 ต้องรับผิดจากการผิดสัญญา โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ผู้ร่วมกันทำละเมิดต้องรับผิดร่วมกันอย่างลูกหนี้ร่วม แต่สำหรับจำเลยที่ 5 แม้ต้องรับผิดในหนี้จำนวนเดียวแต่เป็นหนี้เงินซึ่งมิใช่หนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกกันชำระได้ ทั้งมูลเหตุแห่งความรับผิดในมูลละเมิดและการผิดสัญญาก็แตกต่างกัน จำเลยที่ 5 จึงมิใช่ลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ทั้งนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 290
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2555)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชำระค่าเสียหาย 4,591,790.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2533 เป็นต้นไปจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 7 ปี เป็นเงินดอกเบี้ย 2,410,642.50 บาท รวมเงินทั้งสิ้น 7,002,432.57 บาท และให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวของต้นเงิน 4,591,790.07 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 6 ถึงแก่ความตาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 6
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกานี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2531 โจทก์ทำสัญญาจ้างเหมาจำเลยที่ 5 ติดตั้งระบบไฟฟ้าบกที่ฐานทัพเรือสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เพื่อส่งกระแสไฟฟ้าจากภาคพื้นดินให้แก่เรือรบหลวงที่จอดเทียบท่าเทียบเรือแหลมเทียนในฐานทัพเรือสัตหีบ โดยแบ่งงวดงานเป็น 3 งวดงานให้เสร็จภายในวันที่ 29 ตุลาคม 2531 และโจทก์แต่งตั้งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับนาวาเอกชัชวาลย์เป็นคณะกรรมการตรวจการจ้าง จำเลยที่ 5 ส่งมอบงานงวดที่ 1 และที่ 2 แก่โจทก์แล้ว ส่วนงานงวดที่ 3 ซึ่งเป็นงวดสุดท้าย จำเลยที่ 5 มีหนังสือลงวันที่ 20 ตุลาคม 2531 ขอส่งมอบงาน ต่อมาวันที่ 1 พฤศจิกายน 2531 จึงมีการตรวจการจ้างงวดดังกล่าว ขณะนั้นนาวาเอกชัชวาลติดราชการอื่น จึงคงมีจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ดำเนินการตรวจการจ้าง แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 5 ไม่ได้ดำเนินการทดลองจ่ายไฟฟ้าบกไปยังเรือรบหลวง และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ทำบันทึกผลการตรวจการจ้างว่า งานถูกต้องครบถ้วนตามสัญญา ต่อมาเมื่อมีการใช้งานปรากฏว่าระบบไฟฟ้าบกดังกล่าวขัดข้องและใช้งานได้ไม่สมบูรณ์ โดยสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่เรือรบหลวงที่จอดเทียบท่าเทียบเรือแหลมเทียนได้ไม่ถึง 5 ลำ เป็นเหตุให้มีเรือรบหลวงลำที่ไม่ได้รับการจ่ายกระแสไฟฟ้าบกต้องเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในเรือเอง โจทก์จึงกล่าวโทษและดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ และร่วมกันทำเอกสารและรับรองเอกสารอันมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162 และ 83 ต่อมาศาลทหารกรุงเทพพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตามฟ้องตามคดีหมายเลขแดงที่ 363/2537 ของศาลทหารกรุงเทพ คดีถึงที่สุดแล้ว
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จะต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ โดยเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับจำเลยที่ 5 ผู้รับจ้างต่อโจทก์เสียก่อนเป็นประการแรกว่า สิทธิเรียกร้องตามฟ้องของโจทก์ต่อจำเลยที่ 5 ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า ตามสัญญาจ้างเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าบกระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 5 ข้อ 4 เกี่ยวกับการส่งมอบงานงวดที่ 3 อันเป็นงวดสุดท้ายคู่สัญญาทั้งผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างต้องมีการทดลองระบบทุกระบบที่ติดตั้งให้คณะกรรมการตรวจการจ้างรับว่าใช้ราชการได้ดี แต่ในการตรวจรับงานงวดที่ 3 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ไม่ได้ทำการทดลองทุกระบบ รวมทั้งไม่ได้ทดลองจ่ายไฟฟ้าบกให้แก่เรือรบหลวงตามสัญญาอันจะทำให้ทราบว่า ระบบไฟฟ้าบกใช้ราชการได้ดีหรือไม่ และต่อมาเมื่อมีการใช้ระบบไฟฟ้าบกแก่เรือรบหลวง ปรากฏว่าไม่สามารถใช้ได้ตามสัญญา เป็นเหตุให้เรือรบหลวง 5 ลำ ต้องเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในเรือซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น ค่าบำรุงรักษา และค่าสึกหรอของเครื่องยนต์กำเนิดไฟฟ้าสูงกว่าการใช้ระบบไฟฟ้าบกเป็นเงิน 4,591,790.07 บาท นั้น เห็นได้ว่า คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 5 ปฏิบัติตามสัญญาจ้างเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าบกไม่ครบถ้วน และไม่มีประสิทธิภาพตามสัญญา อันเป็นการปฏิบัติผิดสัญญา และเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องจากเหตุที่ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างทำของ ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงเป็นกรณีตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ที่บัญญัติให้มีกำหนดอายุความ 10 ปี โดยสิทธิเรียกร้องตามคำฟ้องดังกล่าวมิใช่สิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 5 รับผิดเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องในตัวทรัพย์อันจะมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 601 แต่อย่างใด ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์รับมอบงานจากจำเลยที่ 5 ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2531 วันดังกล่าวจึงเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้จากการที่จำเลยที่ 5 ผิดสัญญา การที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 5 เพราะเหตุปฏิบัติผิดสัญญาต่อโจทก์ในวันที่ 25 กันยายน 2540 จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความ การเรียกร้องให้จำเลยที่ 5 รับผิดเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องมีอายุความ 1 ปี ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 5 ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าบกต่อโจทก์อันต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เพียงใด ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังไม่ได้วินิจฉัยแต่คู่ความนำสืบพยานหลักฐานกันมาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาใหม่ โดยในปัญหาว่าจำเลยที่ 5 ผู้รับจ้างปฏิบัติผิดสัญญาจ้างเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าบกต่อโจทก์ผู้ว่าจ้างหรือไม่นั้น ปรากฏว่าในสัญญาดังกล่าว ข้อ 1 ระบุว่า ผู้ว่าจ้างตกลงจ้างผู้รับจ้างให้ทำการติดตั้งระบบไฟฟ้าบกให้กับเรือที่ท่าเทียบเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบให้ถูกต้องตามแบบและรายละเอียดแนบท้ายสัญญาทุกประการ และในสัญญาข้อ 4 ระบุถึงการจ่ายเงินค่าจ้างรายงวดและงานที่ต้องทำในงวดต่าง ๆ รวม 3 งวด ในงวดที่ 1 เงิน 1,500,000 บาท จะจ่ายให้เมื่อผู้รับจ้างได้ดำเนินการแล้วเสร็จดังนี้ปักเสาไฟฟ้าแรงสูง พร้อมติดตั้งอุปกรณ์หัวเสา และพาดสายแรงสูงครบชุด เดินท่อร้อยสายไฟฟ้าทั้งหมด ทั้งแรงสูงและแรงต่ำ ติดตั้งกล่องเหล็กวางสายท่อร้อยสายไฟฟ้าทั้งหมดบ่อพักสายทั้งหมดส่ง SHOP DRAWING ของงานทั้งหมด ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2531 งวดที่ 2 เงิน 1,500,000 บาท จะจ่ายเมื่อดำเนินการดังนี้เดินสายไฟฟ้าแรงสูงร้อยในท่อ เดินสายไฟฟ้าแรงต่ำร้อยในท่อ ส่ง SHOP DRAWING สิ่งที่ทำในประเทศและงานที่จะต้องดำเนินการในงวด 3 ทั้งหมด ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 19 กันยายน 2531 และโดยเฉพาะในงวดที่ 3 อันเป็นงวดสุดท้ายมีข้อสัญญาระบุว่า “งวดที่ 3 เงิน 2,600,000 บาท จะจ่ายให้เมื่อผู้รับจ้างได้ดำเนินการแล้วเสร็จ ดังนี้
-ติดตั้ง SUB – STATION แล้วเสร็จ
-ติดตั้งตู้จ่ายไฟ้ฟ้าชนิด A แล้วเสร็จ
-ติดตั้งตู้จ่ายไฟชนิด B แล้วเสร็จ
-ส่งมอบ RECTIFIER
-อื่น ๆ ครบถ้วนตามแบบและรายการตามสัญญาทุกประการ
-ทดลองระบบทุกระบบที่ติดตั้งให้คณะกรรมการตรวจการจ้างรับว่าใช้ราชการได้ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในวันที่ 29 ตุลาคม 2531…” ตามข้อสัญญาดังกล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่า โจทก์ว่าจ้างจำเลยที่ 5 ติดตั้งระบบไฟฟ้าบกดังกล่าวก็เพื่อให้สามารถส่งกระแสไฟฟ้าจากภาคพื้นดินให้แก่เรือรบหลวงที่จอดเทียบท่าเทียบเรือแหลมเทียนฐานทัพเรือสัตหีบ ทำให้เรือรบหลวงนั้นไม่ต้องใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าให้ต้องสิ้นเปลืองค่าน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น และเครื่องยนต์สึกหรอ และงานการติดตั้งระบบไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าตามรูปแบบที่กำหนดตามสัญญาดังกล่าวก็มีรายละเอียดมาก ทั้งงานทั้งระบบก็มีมูลค่าค่าจ้างสูงถึง 5,600,000 บาท ย่อมมีเหตุผลที่โจทก์จะต้องตรวจสอบระบบและอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดให้ใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ในการจ้างติดตั้งระบบไฟฟ้าบกดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพสมบูรณ์ย่อมเห็นได้ว่า กรณีที่มีการกำหนดเป็นข้อสัญญาว่าต้องมีการทดลองระบบไฟฟ้าที่ติดตั้งทุกระบบให้คณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจสอบและรับว่าใช้ราชการได้ดีด้วยนั้นเป็นข้อสำคัญที่จำเลยที่ 5 ต้องปฏิบัติตามข้อสัญญานี้ โดยต้องทดลองในสภาพเช่นเดียวกับการใช้งานจริงตามวัตถุประสงค์ของสัญญาที่มีการจ่ายกระแสไฟฟ้าผ่านระบบนี้ให้แก่เรือรบหลวงด้วย มิใช่เพียงทดลองตรวจสอบระบบที่ติดตั้งโดยไม่ต้องทดลองจ่ายไฟฟ้าแก่เรือรบหลวงดังที่จำเลยที่ 5 ให้การแต่อย่างใด และเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 5 มิได้ทดลองจ่ายไฟฟ้าตามระบบที่ติดตั้งนี้ให้แก่เรือรบหลวงที่จอดเทียบท่าเทียบเรือแหลมเทียนว่าใช้งานได้เรียบร้อยดีหรือไม่ ย่อมเป็นการที่จำเลยที่ 5 ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามข้อสัญญาดังกล่าว อันเป็นการปฏิบัติผิดสัญญาแล้ว
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ว่า คำพิพากษาในคดีอาญาของศาลทหารกรุงเทพมีผลผูกพันให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ ปัญหานี้ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่า จากกรณีที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในฐานะคณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจการจ้างงานจ้างเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าบกที่จำเลยที่ 5 เป็นผู้รับจ้างโดยไม่มีการทดลองระบบทุกระบบที่ติดตั้งให้คณะกรรมการตรวจการจ้างรับว่าใช้ราชการได้ดีนั้น อัยการศาลทหารกรุงเทพได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นจำเลยต่อศาลทหารกรุงเทพ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ให้การปฏิเสธ และเมื่อสืบพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้ว ศาลทหารกรุงเทพมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 162 (4) และ 83 รายละเอียดปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 363/2537 และคดีถึงที่สุดแล้ว เมื่อพิจารณารายละเอียดในคำพิพากษาของศาลทหารกรุงเทพปรากฏว่าคดีดังกล่าวอัยการศาลทหารกรุงเทพเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 โดยกล่าวหาว่าขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นนายทหารสัญญาบัตรประจำการกองทัพเรือเป็นเจ้าพนักงานซึ่งผู้บังคับบัญชามอบหมายให้เป็นคณะกรรมการตรวจการจ้างการติดตั้งระบบไฟฟ้าบกที่ท่าเทียบเรือแหลมเทียน ฐานทัพเรือสัตหีบ ซึ่งกองทัพเรือทำสัญญาจ้างเหมา บริษัทโอ. วี. เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (จำเลยที่ 5 คดีนี้) เป็นผู้รับจ้าง โดยเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2531 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในฐานะคณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจการจ้างงานงวดที่ 3 ซึ่งเป็นงวดสุดท้าย โดยจะต้องให้ผู้รับจ้างทดลองระบบทุกระบบรวมทั้งทดลองจ่ายไฟฟ้าบกให้แก่เรือจริงตามสัญญา ก่อนที่จะรับไว้ใช้ในราชการแต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ไม่ได้ให้ผู้รับจ้างทดลองจ่ายไฟฟ้าบกแก่เรือ และร่วมกันกรอกข้อความกับลงลายมือชื่อในเอกสารรายงานผลการตรวจสอบจ้างเหมาว่า ผู้รับจ้างได้ทำการทดลองทุกระบบที่ติดตั้งตามข้อกำหนดในสัญญาจ้างติดตั้งระบบไฟฟ้าบกดังกล่าวจนใช้ราชการได้ดี ผลงานดีรับไว้ใช้ในราชการได้ อันเป็นการรับรองหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงเพื่อมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จและเมื่อกองทัพเรือได้ทดลองใช้ระบบไฟฟ้าดังกล่าวปรากฏว่า จ่ายไฟฟ้าบกไม่ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดในสัญญา ทำให้เรือไม่สามารถรับไฟฟ้าบกไปใช้ประโยชน์ขณะจอดเทียบท่าได้ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กองทัพเรือ และขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162, 83 ตามฟ้อง เช่นนี้ ย่อมเห็นได้ว่าคดีอาญาดังกล่าวกองทัพเรือซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนี้เป็นผู้เสียหายจากการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และถือได้ว่าอัยการศาลทหารกรุงเทพดำเนินคดีแทนโจทก์ด้วย โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในคดีอาญาจึงเป็นคู่ความเดียวกันกับคดีนี้ และปัญหาข้อเท็จจริงในคดีอาญาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์คดีนี้หรือไม่ จึงเป็นประเด็นโดยตรงที่โจทก์นำมาฟ้องในทางแพ่งเป็นคดีนี้ ขอให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันรับผิดในมูลละเมิดอันเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในคดีอาญาดังกล่าว และปรากฏตามคำพิพากษาคดีอาญาว่า มีการกล่าวอ้างและสืบพยานหลักฐานในปัญหาข้อเท็จจริงนี้แล้ว ซึ่งในที่สุดศาลทหารกรุงเทพก็ได้วินิจฉัยถึงสัญญาจ้างเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าบกว่า คณะกรรมการตรวจการจ้างมีหน้าที่ต้องให้ผู้รับจ้างทดลองระบบทุกระบบรวมถึงการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่เรือด้วยและวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้รับจ้างไม่ได้ทดลองระบบทุกระบบต่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการตรวจการจ้าง และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไม่ได้ทดลองจ่ายกระแสไฟฟ้าให้แก่เรือ ทั้ง ๆ ที่ในวันตรวจรับงานมีเรือจอดที่ท่าเทียบเรือ การตรวจรับงานงวดที่ 3 ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเหตุให้ทางราชการกองทัพเรือได้รับความเสียหาย และเมื่อคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามสิทธิเรียกร้องในมูลละเมิดที่เกิดจากการกระทำความผิดอาญาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในคดีดังกล่าวคดีนี้จึงเป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาซึ่งศาลทหารกรุงเทพได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว คำพิพากษาของศาลทหารกรุงเทพจึงย่อมมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในคดีนี้ และศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาของศาลทหารกรุงเทพดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหารพ.ศ.2498 มาตรา 54 จึงต้องฟังว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จงใจกระทำละเมิดต่อโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ตามฟ้อง ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต่อไปว่า สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในอันที่จะฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า เมื่อคดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น และโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2540 โดยก่อนฟ้องอัยการศาลทหารกรุงเทพได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นคดีอาญาที่ศาลทหารกรุงเทพและในปี 2537 ศาลดังกล่าวมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 162 (4) และมาตรา 83 จนคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว ดังนี้ สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในการยื่นฟ้องคดีแพ่งคดีนี้ย่อมเป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดอันมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสาม ไม่ใช่มีกำหนดอายุความ 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือ 10 ปีนับแต่วันทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด สิทธิเรียกร้องของโจทก์ตามฟ้องจึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน
ส่วนปัญหาในเรื่องจำนวนค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ต้องรับผิดชดใช้แก่โจทก์นั้น ไม่ใช่กรณีที่ต้องถือข้อเท็จจริงตามคดีอาญาของศาลทหารกรุงเทพ หากแต่ต้องพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ในทางแพ่งเกี่ยวกับความรับผิดในค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 วรรคหนึ่ง และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 424 และตามที่ได้วินิจฉัยถึงความเสียหายที่จำเลยที่ 5 ต้องรับผิดเพราะปฏิบัติผิดสัญญาต่อโจทก์มาแล้วนั้น เห็นได้ว่า ในกรณีของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ตรวจรับงานโดยที่จำเลยที่ 5 ไม่ได้ทดลองจ่ายไฟฟ้าบกไปยังเรือรบหลวงเพื่อให้เห็นว่าระบบไฟฟ้าบกที่จำเลยที่ 5 รับจ้างติดตั้งใช้ในราชการได้ดีตามสัญญาจ้างเหมาติดตั้งระบบไฟฟ้าบก จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าแก่เรือได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด และต้องเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในเรืออันเป็นการสิ้นเปลืองค่าน้ำมันเชื้อเพลิง และค่าใช้จ่ายในการเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ซึ่งมูลเหตุแห่งความเสียหายเกิดจากการที่จำเลยที่ 5 ไม่ได้ทดลองจ่ายไฟฟ้าในระบบไฟฟ้าบกแก่เรือจริง แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ก็ยังยอมรับมอบงานและรับรองว่างานถูกต้องตามสัญญาอันเป็นการเอื้อต่อการปฏิบัติผิดสัญญาของจำเลยที่ 5 โดยมิชอบ จนเกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในเรือรบหลวงในช่วงเวลาที่ต้องตรวจสอบเหตุบกพร่องของระบบไฟฟ้าบกที่จำเลยที่ 5 รับจ้างโจทก์ติดตั้ง อันมีเหตุแห่งความเสียหายและลักษณะแห่งความเสียหายเดียวกัน ย่อมมีผลให้มีจำนวนค่าเสียหายจำนวนเดียวกัน โดยตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ก็ไม่มีเหตุที่ควรกำหนดค่าเสียหายแตกต่างกัน จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 1,000,000 บาท เช่นเดียวกับที่จำเลยที่ 5 ต้องรับผิดจากการผิดสัญญาดังวินิจฉัยไว้แล้ว โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ผู้ร่วมกันทำละเมิดต้องรับผิดร่วมกันอย่างลูกหนี้ร่วม แต่สำหรับจำเลยที่ 5 แม้ต้องรับผิดในหนี้จำนวนเดียวแต่เป็นหนี้เงินซึ่งมิใช่หนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกกันชำระได้ ทั้งมูลเหตุแห่งความรับผิดในมูลละเมิดและการผิดสัญญาก็แตกต่างกัน จำเลยที่ 5 จึงมิใช่ลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 290 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับว่า ให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ร่วมกันชำระเงิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 5 รับผิดชำระต้นเงินและดอกเบี้ยดังกล่าวแก่โจทก์ด้วย แต่ทั้งนี้ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 5 รวมแล้วไม่เกิน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share