คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 40/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำนองเป็นสัญญาที่เอาทรัพย์สินตราไว้เป็นประกันการชำระหนี้ จึงมีหนี้ที่จะต้องชำระแก่กันอันเป็นหนี้ประธาน และมีจำนองเป็นอุปกรณ์ของหนี้นั้น
การบังคับจำนองแก่ทรัพย์ซึ่งจำนองจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีการไม่ชำระหนี้อันเป็นประธานเกิดขึ้น ดังนั้น ในกรณีที่มีการบังคับจำนองโดยเอาทรัพย์สินของจำเลยซึ่งจำนองไว้ออกขายทอดตลาดเพื่อใช้เงินที่จำเลยกู้โจทก์ไป แต่ขายได้เงินสุทธิน้อยกว่าเงินที่จำเลยค้างชำระอยู่ หากในสัญญาจำนองไม่ปรากฏว่าจำเลยยอมให้เอาทรัพย์อื่นนอกจากทรัพย์ที่จำนองชำระหนี้ได้อีกแล้ว จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่ขาด โจทก์จะขอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยมาชำระหนี้อีกหาได้ไม่

ย่อยาว

คดีนี้ มูลกรณีสืบเนื่องมาจากจำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๙ และจำเลยที่ ๑๐ เอาที่ดินรวม ๑๗ แปลง ซึ่งเป็นของจำเลยทั้งสามจำนองไว้ต่อโจทก์เป็นการประกันการชำระหนี้รายนี้ ต่อมาโจทก์ได้ฟ้องเรียกเงินกู้และขอบังคับจำนองด้วย ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี และได้เอาทรัพย์ซึ่งจำนองทั้งหมดออกขายทอดตลาดใช้หนี้ ได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑ ค้างชำระ โจทก์จึงขอให้ศาลดำเนินการบังคับคดีต่อไป ศาลมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ ๑ ไว้รวม ๔๗ รายการ และประกาศขาดทอดตลาด จำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งถอนการยึดทรัพย์ดังกล่าวเสียอ้างโจทก์ได้ยึดที่ดิน ๑๗ แปลง ซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำนองออกขาดทอดตลาด และโจทก์ได้รับชำระหนี้ไปแล้ว แม้จะน้อยว่าจำนวนหนี้ที่ค้างชำระอยู่ก็ตาม ความรับผิดของจำเลยที่ ๑ ก็เป็นอันหมดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๓๓
โจทก์คัดค้านว่า จำเลยที่ ๑ ยังต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาอยู่อีก แม้จะได้ขายทรัพย์ที่จำนองไปแล้วก็ตาม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลได้ยึดและขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนองไปแล้ว เป็นกรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๓๓ จึงมีคำสั่งให้ปล่อยทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ เสีย
โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มีสิทธิยึดทรัพย์รายนี้ได้
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เกิดขึ้นโดยสัญญากู้ มิใช่เกิดขึ้นจากการจำนอง หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงยังคงมีอยู่จนกว่า จำเลยที่ ๑ จะชำระครบตามคำพิพากษา มิได้ระงับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๓๓ พิพากษากลับ ให้ดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ เพื่อใช้หนี้โจทก์ต่อไปจนครบตามคำพิพากษา
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ทำความเห็นแย้งว่า ควรพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่ขาด
ปัญหามีเพียงว่า เมื่อได้เอาทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ ที่ ๙ และที่ ๑๐ ซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้เงินที่จำเลยที่ ๑ กู้โจทก์ไป ได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่จำเลยที่๑ ยังค้างชำระอยู่ โจทก์จะขอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ ๑ มาชำระหนี้ โดยถือว่า จำเลยที่ ๑ ยังต้องรับผิดในเงินที่ยังขาดจำนวนอยู่ได้หรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๐๒, ๗๐๓และ ๖๘๑ จำนองเป็นสัญญาที่เอาทรัพย์สินตราไว้เป็นประกันการชำระหนี้ โดยหนี้ที่มีจำนองเป็นประกันจะเป็นหนี้ที่มีอยู่ในขณะทำสัญญาจำนองหรือหนี้ในอนาคตก็ได้ ในกรณีจำนองจึงมีหนี้ที่จะพึงต้องชำระแก่กันเป็นหนี้ประธานและหนี้จำนองเป็นอุปกรณ์ของหนี้นั้น การบังคับจำนอง โดยฟ้องศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและให้ขายทอดตลาด จะกระทำได้ต่อเมื่อมีการไม่ชำระหนี้ที่เป็นประธานเกิดขึ้น (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๒๘) หรืออีกนัยหนึ่ง การบังคับจำนองเป็นการบังคับแก่ทรัพย์สินซึ่งจำนองเพื่อชำระหนี้ที่เป็นประธานนั่นเอง เมื่อได้มีการบังคับด้วยการเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้ ได้เงินจำนองสุทธิน้อยว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่ เงินยังขาดจำนวนเท่าใด ลูกหนี้ก็ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๔ และ ๗๓๓ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. ๒๔๗๘ มาตรา ๕
ฉะนั้น เมื่อในสัญญาจำนองไม่ปรากฏว่าจำเลยยอมให้เอาทรัพย์อื่นนอกจากทรัพย์ที่จำนองชำระหนี้อีก จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้เงินกู้ จึงไม่ต้องรับผิดในจำนวนที่ยังขาดอยู่อีก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๑๔ และ มาตรา ๗๓๓ ที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่ โจทก์จะขอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยที่ ๑ มาชำระหนี้อีกไม่ได้
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share