คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บำนาญตกทอดไม่ใช่ทรัพย์สินที่ผู้ตายมีอยู่ในขณะตาย จึงไม่เป็นมรดก ฉะนั้น การที่ผู้จัดการมรดกฟ้องศาลให้พิพากษาให้ตนมีสิทธิเรียกบำนาญตกทอดจัดการมรดกจึงปราศจากมูลตามกฎหมายที่จะอ้างอิง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกพระยาสมบัติบริหารผู้ตายมีสิทธิเรียกบำนาญตกทอดพระยาสัมบัติบริหารมาจัดการมรดกได้
ศาลแพ่งมีคำสั่งว่า สิทธิในบำนาญตกทอดมิใช่เป็นมรดกของพระยาสมบัติบริหาร โจทก์ไม่มีสิทธิเข้าเกี่ยวข้องให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกากล่าวว่า โจทก์อ้างสิทธิที่จะได้รับบำนาญตกทอดตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญ พ.ศ. ๒๔๙๔ ได้ความตามฟ้องโจทก์ว่า พระยาสมบัติบริหารเมื่อยังมีชีวิตเป็นผู้ได้รับบำนาญปกติอยู่ได้ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๐๑ กรณีจึงต้องด้วยมาตรา ๔๙ แห่ง พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญ พ.ศ. ๒๔๙๔ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๐แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๔๙๙ อันมีความว่า “ภายใต้บังคับมาตรา ๓๘ ผู้ใดได้รับบำนาญปกติอยู่ ฯลฯ ถึงแก่ความตาย ให้ทายาทหรือในกรณีที่ไม่มีทายาทก็ให้ผู้อุปการะหรือผู้อยู่ในอุปการะแล้วแต่กรณีของผู้นั้น ได้รับบำนาญตกทอดต่อไป ในอัตรากึ่งหนึ่งของบำนาญที่ได้รับ ฯลฯ
บทบัญญัติมีดังนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า การที่รัฐบัญญัติอำนาจให้บำนาญตกทอดนั้นเป็นการให้สิทธิที่จะได้รับเงินช่วยเหลือแก่ทายาทหรือผู้อุปการะหรือผู้อยู่ในอุปการะโดยตรง หาได้เป็นสิทธิเป็นทรัพย์แก่ข้าราชการผู้ได้รับบำนาญปกติอยู่ก่อนตายหรือในขณะที่ถึงแก่ความตายอย่างไรไม่ ฉะนั้น บำนาญตกทอดนี้จึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ผู้ตายมีอยู่ในขณะตาย ไม่เป็นมรดกตามกฎหมายว่าด้วยมรดกแต่อย่างใด การที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องในฐานะผู้จัดการมรดกของพระยาสมบัติบริหารจึงเป็นการฟ้องที่ปราศจากมูลตามกฎหมายที่จะอ้างอิงได้
คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว พิพากษายืน

Share