คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3998/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินเนื้อที่ประมาณ 28 ไร่ ตั้งอยู่บ้านโพนงานโคก ตำบลนาแก้วอำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร โดยบิดามารดาของโจทก์ยกให้ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2526 โจทก์ยื่นคำร้องขอจับจองที่ดินดังกล่าวต่อนายอำเภอเมืองสกลนคร จำเลยทั้งสิบโต้แย้งว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดอรุณแสงทอง จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ดังนี้ แม้หากข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจำเลยทั้งสิบกระทำการตามฟ้องโจทก์จริง ก็ไม่อาจจะพิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้ เพราะจำเลยทั้งสิบมิได้แย้งว่าเป็นเจ้าของที่ดินที่แย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวกับอำนาจฟ้องศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4ตำบลนาแก้ว อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร จำเลยที่ 2เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 4 ตำบลนาแก้ว อำเภอเมืองสกลนครจังหวัดสกลนคร จำเลยที่ 3, 4, 5, 6, 7 เป็นราษฎรหมู่ที่ 4ตำบลนาแก้ว อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร จำเลยที่ 8เป็นศึกษาธิการอำเภอเมืองสกลนคร จำเลยที 9 เป็นศึกษาธิการจังหวัดสกลนคร เฉพาะจำเลยที่ 8 และจำเลยที่ 9 เป็นเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 10 และได้รับมอบหมายจากทางราชการให้ทำการแทนจำเลยที่ 10 จำเลยที่ 10 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 28 ไร่ ทิศเหนือจดที่ดินของโจทก์ ทิศใต้จดทางสาธารณะทิศตะวันออกจดที่ดินของนายวันดี ภูวงษา ทิศตะวันตกจดที่ดินนางลัย นารถโคตร และที่ดินนายหาญ กางกำจัด ราคาประมาณ60,000 บาท ที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ที่บ้านโพนงามโคก ตำบลนาแก้วอำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร โจทก์ได้ที่ดินดังกล่าวมาจากนายอานและนางคาย พรหมบุรมย์ บิดามารดาของโจทก์เป็นผู้ยกให้และโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ติดต่อกันมาเป็นเวลาประมาณ 30 ปีจนกระทั่งทุกวันนี้ เมื่อประมาณต้นเดือนพฤษภาคม 2526 โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอจับจองที่ดินดังกล่าวต่อนายอำเภอเมืองสกลนครจำเลยที่ 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7 ได้ร่วมกันทำหนังสือซึ่งมีข้อความอันเป็นเท็จร้องเรียนต่อนายอำเภอเมืองสกลนครว่าที่ดินของโจทก์เป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดอรุณแสงทองหรือวัดแสงอรุณขันธ์ทองและเป็นที่สาธารณะด้วย นายอำเภอเมืองสกลนครจึงได้มอบหมายให้เจ้าพนักงานที่ดินทำหนังสือสอบถามไปยังจำเลยที่ 8 ซึ่งมีตำแหน่งเป็นศึกษาธิการอำเภอเมืองสกลนคร จำเลยที่ 8ได้ทำหนังสือยืนยันว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ โดยจดทะเบียนเป็นที่ธรณีสงฆ์มาตั้งแต่ปี 2445 และจำเลยที่ 9 ซึ่งมีตำแหน่งเป็นศึกษาธิการจังหวัดสกลนครได้ทำหนังสือถึงนายอำเภอเมืองสกลนครให้ดำเนินการออกหนังสือสำคัญในที่ดินของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นให้เป็นที่ธรณีสงฆ์วัดอรุณแสงทอง ตำบลนาแก้ว อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร จำนวน 26 ไร่ โดยมอบหมายให้จำเลยที่ 8 ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 10 เป็นผู้ดำเนินการแทนการกระทำของจำเลยทั้งสิบเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์และเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะไม่สามารถออกหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ได้ทั้ง ๆ ที่ตามความเป็นจริงแล้วที่ดินของโจทก์มิได้เป็นที่ธรณีสงฆ์และที่สาธารณะแต่อย่างใดทั้งสิ้นขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทตามฟ้องเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยทั้งสิบให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดอรุณแสงทองมาเป็นเวลาประมาณ 80 ปีแล้วซึ่งแม้ว่าบิดามารดาของโจทก์และโจทก์จะครอบครองมาช้านานเท่าใดกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดังกล่าวก็ยังคงเป็นของวัดอรุณแสงทองอยู่ดี เพราะโจทก์ไม่อาจจะอ้างกฎหมายและอายุความต่อสู้วัดอรุณแสดงทองได้ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้อง จำเลยทั้งสิบอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน เนื้อที่ประมาณ 28 ไร่ ตั้งอยู่ที่บ้านโพนงามโคก ตำบลนาแก้ว อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร โดยบิดามารดาของโจทก์ยกให้ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2526 โจทก์ยื่นคำร้องขอจับจองที่ดินดังกล่าวต่อนายอำเภอเมืองสกลนคร จำเลยทั้งสิบโต้แย้งว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดอรุณแสงทอง จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องศาลฎีกาเห็นว่า แม้หากข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจำเลยทั้งสิบกระทำการตามฟ้องโจทก์จริง ก็ไม่อาจจะพิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ได้ เพราะจำเลยทั้งสิบหาได้โต้แย้งว่าเป็นเจ้าของที่ดินหรือแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ไม่ ซึ่งปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยทั้งสิบไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล”
พิพากษายืน

Share