คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่วัด แม้จำเลยจะได้นำรังวัดออกโฉนดเป็นของจำเลย และครอบครองทำประโยชน์มานานสักเท่าใดก็ตามจำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น ทั้งจะยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดไม่ได้ เพราะตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 ก็ดีพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ. 2477 ก็ดีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ก็ดี ได้มีข้อบัญญัติไว้ตลอดมาว่าที่วัดผู้ใดผู้หนึ่งจะโอนกรรมสิทธิ์ที่นั้นไปไม่ได้ จะโอนกรรมสิทธิ์ได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ และห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นอารามราษฎร์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายตั้งอยู่ตำบลหิรัญรูจี อำเภอธนบุรี จังหวัดธนบุรี มีอาณาเขตด้านทิศเหนือติดถนนยาวประมาณ 4 เส้น 5 วาเศษ ด้านทิศใต้ยาวประมาณ 4 เส้นเศษ จดที่ดินของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์กับทางสาธารณะ ด้านทิศตะวันออกกว้างประมาณ 1 เส้น 11 วาเศษ ติดที่ดินของกระทรวงการคลัง ด้านทิศตะวันตกกว้างประมาณ 1 เส้น 14 วาเศษจดคลองบางกอกใหญ่ เมื่อปี ร.ศ.124 กระทรวงกลาโหมได้นำรังวัดออกโฉนดที่ 2317 รุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่ตั้งวัดโจทก์กว้างประมาณ 10 วาเศษ ยาวประมาณ 1 เส้น 8 วา คิดเป็นเนื้อที่ 3 งาน 18 วา ราคา 15,900 บาท ต่อมากระทรวงกลาโหมได้โอนที่ดินตามโฉนดที่ 2317 ดังกล่าวให้กระทรวงการคลังจำเลย และกระทรวงการคลังได้ขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดที่ 2317 นี้เฉพาะส่วนที่รุกล้ำที่วัดโจทก์ออกเป็นโฉนดที่ 2693 ในนามของจำเลยเป็นเนื้อที่ 3 งาน 18 วา และเมื่อ พ.ศ. 2462 กระทรวงการคลังได้นำรังวัดที่ดินวัดโจทก์ออกโฉนดที่ 2649 อีกแปลงหนึ่งเนื้อที่ 1 งาน 90 วา ราคาประมาณ 9,500 บาทจึงขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินตามโฉนดที่ 2693 และโฉนดที่ 2649 เป็นของโจทก์ ให้เพิกถอนโฉนดทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง

จำเลยให้การว่า วัดโจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายจริง แต่ที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงนั้นไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ เดิมที่ทั้ง 2 แปลงเป็นที่ดินของกระทรวงกลาโหมใช้ประโยชน์ในทางราชการมาก่อน ร.ศ.125 ต่อมาได้มอบให้กระทรวงการคลังขึ้นทะเบียนเป็นราชพัสดุของกระทรวงการคลังแล้วต่อมาในปี พ.ศ. 2464 กระทรวงการคลังได้ขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามโฉนดที่ 2317 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงหนึ่งที่กระทรวงการคลังรับมอบมาจากกระทรวงกลาโหมออกเป็นโฉนดที่ 2693 คือที่ดินที่พิพาทในคดีนี้แปลงหนึ่ง กับแบ่งแยกออกเป็นที่ดินโฉนดที่ 2694 ซึ่งได้พระราชทานให้แก่กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์อีกแปลงหนึ่งกับในปี พ.ศ. 2462 กระทรวงการคลังได้นำรังวัดที่ดินที่ได้รับมอบจากกระทรวงกลาโหมอีกแปลงหนึ่ง ออกเป็นโฉนดที่ 2649 คือที่ดินที่พิพาทในคดีนี้ กระทรวงการคลังจำเลยได้ขอนำรังวัดออกโฉนดที่ดินทั้ง 2 แปลงโดยชอบด้วยกฎหมาย วัดโจทก์ไม่เคยได้เข้าเกี่ยวข้องและจำเลยได้ครอบครองจัดหาประโยชน์ให้เช่าที่ดินพิพาทตลอดมาจนบัดนี้ 40 ปีเศษแล้ว ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขาดอายุความจึงขอให้ยกฟ้องโจทก์

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทโฉนดที่ 2649 เป็นที่ดินของวัดประดิษฐาราม โจทก์ ให้เพิกถอนโฉนดที่ 2649 ของกระทรวงการคลัง ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง คำขออื่นให้ยก

โจทก์อุทธรณ์ว่า ที่ดินโฉนดที่ 2693 เป็นของโจทก์ด้วย จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ดินโฉนดที่ 2649 เป็นของจำเลย

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้วพิพากษาแก้ว่า ที่ดินโฉนดที่ 2693 เป็นที่ดินวัดประดิษฐารามโจทก์ ให้เพิกถอนทำลายโฉนดที่ 2693 ของกระทรวงการคลังเสียด้วย ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง

จำเลยฎีกาต่อมาว่า ที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงเป็นของจำเลย

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังว่า ที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลง ตามโฉนดที่ 2693 และโฉนดที่ 2649 เป็นที่ดินวัดประดิษฐาราม โจทก์ กระทรวงการคลัง จำเลยได้นำรังวัดออกโฉนดที่ดินทั้ง 2 แปลงนี้รุกล้ำเอาที่ดินซึ่งเป็นที่วัดโจทก์ แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่ากระทรวงการคลังจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาททั้ง 2 แปลงโดยเก็บค่าเช่าจากผู้อยู่อาศัยตลอดมาเกิน 10 ปี และวัดโจทก์ไม่คัดค้านหรือไม่ส่งคนไปรังวัดแนวเขตในเมื่อมีการรังวัดออกโฉนดที่พิพาทก็หาใช่ข้อสำคัญไม่ เพราะเมื่อฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นที่วัดเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดโจทก์แล้ว กระทรวงการคลังจำเลยจะเข้าไปยึดไปเป็นกรรมสิทธิ์หาได้ไม่ ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 มาตรา 7 ซึ่งต่อมาได้แก้ไขตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2477 มาตรา 3 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์พ.ศ. 2484 มาตรา 41 และพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ซึ่งยกเลิกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 34 ซึ่งบัญญัติไว้ตลอดมาว่าที่วัด ผู้ใดผู้หนึ่งจะโอนกรรมสิทธิ์ที่นั้นไปไม่ได้ และว่าที่วัดจะโอนกรรมสิทธิ์ได้แต่โดยพระราชบัญญัติ และห้ามมิให้บุคคลใดยกอายุความขึ้นต่อสู้กับวัดในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นที่วัด ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share