คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3994/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคารฯข้อ 76(4) ระบุว่า การก่อสร้างอาคารตึกแถว ห้องแถวต้องมีที่ว่างด้านหลังอาคารไม่น้อยกว่า 2 เมตร เมื่อจำเลยต่อเติมดัดแปลงอาคารปกคลุมที่ว่างด้านหลังอาคารเดิมทำให้ไม่มีที่ว่างด้านหลังอาคารเดิมเหลืออยู่ อีกทั้งจำเลยต่อเติมดัดแปลงไปโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย และอาคารที่ดัดแปลงแล้วนั้นไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้ โจทก์จึงมีอำนาจสั่งให้รื้อถอนหรือร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มาตรา 42 วรรคแรก และวรรคสาม กรณีการต่อเติมดัดแปลงอาคารโดยมิได้รับอนุญาตและเป็นกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องได้นั้นพระราชบัญญัติคุมคุมอาคารฯ มาตรา 42 มิได้ให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งให้รื้อถอนเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือไม่ก็ได้เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนศาลจำต้องบังคับให้มีการรื้อถอนอาคารที่ผิดกฎหมายนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่ดัดแปลงต่อเติม หากจำเลยไม่ยอมรื้อถอน ให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยจำเลยเสียค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยมิได้เป็นผู้ก่อสร้างต่อเติมอาคารตามฟ้อง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง การก่อสร้างต่อเติมได้ก่อสร้างเสร็จก่อนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522ใช้บังคับ จึงไม่อาจนำกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับในกรณีจำเลยได้เนื้อที่ด้านหลังอาคารมิได้มีสภาพเป็นทางเดิน แม้จะรื้อถอนอาคารจำเลยก็ไม่สามารถใช้ช่องว่างเป็นทางเดินได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมนั้น หากไม่ยอมปฏิบัติให้โจทก์รื้อถอนได้เองโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังมาเป็นที่ยุติว่าจำเลยเป็นเจ้าของตึกแถวอยู่อาศัย 2 ชั้นเลขที่ 247/53 ซอยทวีวัฒนา แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวากรุงเทพมหานคร ในแถวเดียวกับตึกจำเลยมีอาคารแบบเดียวกันติดต่อกันประมาณ 20 คูหา ด้านหลังอาคารทั้งหมดติดกับถนนซอยคอนกรีตกว้างประมาณ 4.80 เมตร และเป็นซอยตันยาวประมาณ 140 เมตรจำเลยต่อเติมอาคารด้านหลังอาคารเดิมของจำเลยติดต่อกับอาคารเดิมไปถึงกำแพงที่ติดกับซอยดังกล่าวเป็นลักษณะ 2 ชั้น กว้างประมาณ 2.40เมตร ยาวประมาณ 6.70 เมตร โดยไม่ได้รับอนุญาต อาคารส่วนที่ต่อเติมชั้นล่างใช้เป็นห้องครัวและห้องน้ำชั้นบนเป็นห้องนอนมีลักษณะเป็นอาคารถาวร อาคารหลังอื่นในแถวเดียวกันกับอาคารจำเลยมีการปลูกสร้างอาคารต่อเติมออกมาทางด้านหลังรวม 19 คูหาแนวด้านหลังของอาคารทั้งหมดไม่มีที่ว่างเหลืออยู่ เดินทะลุถึงกันไม่ได้ จำเลยฎีกาข้อแรกว่าอาคารพิพาทอยู่ติดกับอาคารใกล้เคียงอีกประมาณ 19 คูหา ด้านหลังมีกำแพงกั้นติดกับถนนส่วนบุคคลและด้านข้างติดกับอาคารข้างเคียงที่ไม่สามารถเดินทะลุถึงกันได้ เนื่องจากติดผนัง ที่ว่างตามสภาพดังกล่าวจึงไม่ใช่ทางหนีไฟ การดัดแปลงต่อเติมดังกล่าวจึงไม่ขัดกับข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ข้อ 76(4) โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งให้รื้อถอนตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 42 และสภาพดังกล่าวไม่ใช่ทางหนีไฟ ในเมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่า แม้จำเลยไม่สร้างสิ่งปกคลุมหากเกิดเพลิงไหม้ก็สามารถหนีไฟได้ เฉพาะแต่เพียงด้านหน้าอาคารเท่านั้น เนื่องจากด้านหลังติดกำแพงสูงและด้านข้างติดกับผนังของอาคารข้างเคียงนั้นศาลฎีกาเห็นว่า ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 76(4) ระบุว่าการก่อสร้างอาคารตึกแถวห้องแถวต้องมีที่ว่างด้านหลังอาคารไม่น้อยกว่า 2 เมตร ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยต่อเติมดัดแปลงอาคารด้านหลังอาคารเดิมปกคลุมทับที่ว่างด้านหลังอาคารทำให้ไม่มีที่ว่างด้านหลังอาคารเดิมเหลืออยู่ ทั้งจำเลยต่อเติมดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 22 การกระทำของจำเลยจึงฝ่าฝืนต่อข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครดังกล่าว และอาคารที่จำเลยต่อเติมดัดแปลงไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครได้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นจึงมีอำนาจสั่งให้รื้อถอนหรือร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนได้ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42 วรรคแรกและวรรคสาม ในกรณีหากเกิดเพลิงไหม้อาคารห้องจำเลยหรือห้องข้างเคียงถ้าจำเลยไม่สร้างอาคารปกคลุมที่ว่างดังกล่าว ที่ว่างด้านหลังอาคารก็ใช้เป็นทางหนี้ไฟได้สะดวกและปลอดภัย”
จำเลยฎีกาในข้อสุดท้ายว่า ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 มาตรา 42 มิได้บังคับให้ศาลต้องมีคำสั่งให้รื้อถอนทุกกรณีไป หากศาลเห็นว่าอาคารที่จำเลยต่อเติมดัดแปลงนั้นมีลักษณะแข็งแรงและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใด ๆ เช่นกรณีของจำเลยศาลชอบที่จะใช้ดุลพินิจสั่งให้รื้อถอนเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือไม่ก็ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่ามีการต่อเติมดัดแปลงโดยมิได้รับอนุญาตและเป็นกรณีที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครได้เช่นในกรณีของจำเลย โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานท้องถิ่นร้องขอต่อศาลให้บังคับให้มีการรื้อถอนเช่นนี้ ศาลจำต้องบังคับให้มีการรื้อถอนตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 42 วรรคสาม บทบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจสั่งให้รื้อถอนเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือไม่ก็ได้”
พิพากษายืน

Share