คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3991/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ความเสียหายที่เกิดขึ้นสำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิจะต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะข้อความแห่งเอกสารสิทธินั้น แต่ข้อความในเอกสารสิทธิที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกปลอมไม่มีข้อความเกี่ยวถึงตัวผู้ร้องเลยทั้งการที่จำเลยกับพวกนำหนังสือมอบอำนาจซึ่งเป็นเอกสารสิทธิปลอมไปยื่นต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับคำขอจดทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินเพื่อแสดงว่า ฉ. ได้มอบอำนาจให้ พ. ซื้อและขายที่ดิน ก็ไม่เกิดผลกระทบโดยตรงต่อทรัพย์สินของผู้ร้อง เนื่องจากหนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารสิทธิปลอมจึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิภาระซื้อและขายที่ดินระหว่าง ฉ. กับผู้ขายหรือผู้ซื้อ ที่ดินจึงมิใช่สินสมรสระหว่างผู้ร้องกับ ฉ. ผู้ร้องจึงไม่เป็นบุคคลที่ได้รับความเสียหายเพราะการกระทำของจำเลยกับพวกตามที่โจทก์ฟ้อง หากผู้ร้องได้รับความเสียหายเพราะการกระทำของจำเลยกับพวกก็ชอบที่จะไปดำเนินคดีในทางแพ่งได้ ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามความหมายของ ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) ไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268, 91, 83 ริบของกลาง และนับโทษของจำเลยต่อจากโทษของจำเลยที่ 5 และจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2166/2540 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 6399/2541 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาพลอากาศตรีสมิทธ มะกรสาร ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์อ้างว่า ผู้ร้องเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางฉลวย มะกรสาร โดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2490 บรรดาทรัพย์สินต่างๆ ที่ผู้ร้องและนางฉลวยได้มาในระหว่างสมรส จึงเป็นทรัพย์สินร่วมกันระหว่างสามีภริยา คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในข้อหาปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้ร้องและนางฉลวย ผู้ร้องเป็นผู้เสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดของจำเลย และเป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในข้อหาดังกล่าว ผู้ร้องมีความประสงค์จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาต โจทก์แถลงไม่ค้าน ส่วนจำเลยแถลงคัดค้านว่าผู้ร้องไม่ใช่ผู้เสียหาย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยร่วมกันพวกปลอมหนังสือมอบอำนาจของนางฉลวยไปทำนิติกรรมซื้อที่ดินและต่อมาได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจของนางฉลวยไปทำนิติกรรมขายที่ดินแปลงเดียวกันนี้ เท่ากับอ้างว่านางฉลวยไม่เคยแสดงเจตนาซื้อที่ดินแปลงพิพาท ที่ดินแปลงพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่นางฉลวยได้มาในระหว่างเป็นสามีภริยากับผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำของจำเลยกับพวก ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยตรงในความผิดตามฟ้องโจทก์ ไม่อายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโจทก์ได้ จึงยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามคำฟ้องและคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ว่า ผู้ร้องกับนางฉลวย มะกรสาร เป็นสามีภริยากัน โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับนายพิศิษฐ์ สังฆสุวรรณ ได้ปลอมลายมือชื่อของนางฉลวยในหนังสือมอบอำนาจรับซื้อและขายที่ดินแล้วนำหนังสือมอบอำนาจนั้นไปยื่นต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับคำขอจดทะเบียนเกี่ยวกับที่ดิน เพื่อแสดงว่านางฉลวยได้มอบอำนาจให้นายพิศิษฐ์ซื้อและขายที่ดินแปลงดังกล่าว เห็นว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นสำหรับความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิจะต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะ ข้อความแห่งเอกสารสิทธินั้นแต่ข้อความในเอกสารสิทธิที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกปลอมไม่มีข้อความเกี่ยวถึงตัวผู้ร้องเลย ทั้งการที่จำเลยกับพวกนำหนังสือมอบอำนาจซึ่งเป็นเอกสารสิทธิปลอมไปยื่นต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่รับคำขอจดทะเบียนเกี่ยวกับที่ดิน เพื่อแสดงว่านางฉลวยได้มอบอำนาจให้นายพิศิษฐ์ซื้อและขายที่ดิน ก็ไม่เกิดผลกระทบโดยตรงต่อทรัพย์สินของผู้ร้อง เนื่องจากหนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารสิทธิปลอม จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิภาระซื้อและขายที่ดินระหว่างนางฉลวยกับผู้ขายหรือผู้ซื้อ ที่ดินจึงมิใช่สินสมรสระหว่างผู้ร้องกับนางฉลวย ผู้ร้องจึงไม่เป็นบุคคลที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยกับพวกตามที่โจทก์ฟ้อง หากผู้ร้องได้รับความเสียหายเพราะการทำของจำเลยกับพวกก็ชอบที่จะไปดำเนินคดีในทางแพ่งได้ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ไม่มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ”
พิพากษายืน

Share