คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3915/2549

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

แม้คำฟ้องจะบรรยายว่าจำเลยสั่งซื้อสินค้าจำพวกฟิล์มจากโจทก์ แต่ต่อมาโจทก์ได้ขอแก้ไขคำฟ้องแล้วว่า เป็นสินค้าจำพวกแผ่นรองพิมพ์เพื่อให้ตรงกับที่ระบุในสัญญาซื้อขาย แม้จะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องภายหลังจากที่จำเลยยื่นคำให้การแล้ว ก็เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียดเล็กน้อยเพื่อให้ตรงกับข้อเท็จจริงที่ระบุในสัญญาซื้อขายท้ายคำฟ้อง จึงหาทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้แต่ประการใดไม่คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายและแสดงถึงรายละเอียดเกี่ยวกับใบสั่งซื้อ สินค้าที่ซื้อขาย ใบแจ้งหนี้ทางการค้าและการส่งสินค้าให้แก่จำเลย จึงเป็นคำฟ้องที่ชัดแจ้งฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
การซื้อขายสินค้าดังกล่าวตกลงชำระเงินโดยโอนผ่านธนาคารเข้าบัญชีของโจทก์ภายใน 90 วัน นับถัดจากวันที่ลงในใบตราส่ง คือนับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2544 จำเลยจึงต้องชำระเงินภายในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2544 หากจำเลยไม่ชำระโจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจากจำเลยได้นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไป อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมเรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีกำหนดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2546 จึงยังอยู่ในระยะเวลา 2 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 2,791,451.36 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 2,429,082.98 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 2,791,448.92 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 2,429,082.98 บาท นับถัดจากวันที่ 5 พฤศจิกายน 2546 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความไม่โต้แย้งในชั้นอุทธรณ์ว่า เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2544 จำเลยสั่งซื้อสินค้าจำพวกแผ่นรองพิมพ์จากโจทก์ โดยตกลงชำระเงินแบบ T.T 90 Days After B/L Date คือการชำระเงินโดยโอนเงินผ่านธนาคารเข้าบัญชีของโจทก์ภายใน 90 วัน นับถัดจากวันที่ลงในใบตราส่ง โจทก์ส่งสินค้าให้แก่จำเลยและจำเลยได้รับสินค้าจากโจทก์ครบถ้วนแล้วตามสำเนารายการสินค้าเอกสารหมาย จ.7 สำเนาใบตราส่งเอกสารหมาย จ.8 และสำเนาใบแจ้งหนี้ทางการค้าเอกสารหมาย จ.6 แต่จำเลยไม่ได้ชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม หรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้าจำพวกฟิล์มจากโจทก์ แต่ตามคำฟ้องและหลักฐานแห่งหนี้ที่โจทก์อ้าง ไม่ปรากฏว่าสินค้าที่โจทก์นำลงเรือและส่งมอบให้แก่จำเลยเป็นสินค้าประเภทไหนกันแน่ เป็นสินค้าจำพวกฟิล์มหรือสินค้าจำพวกเพลท เนื่องจากเอกสารท้ายคำฟ้องระบุว่าเป็นสินค้าจำพวกเพลท แต่ตามคำฟ้องระบุว่าเป็นสินค้าจำพวกฟิล์ม ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ทั้งโจทก์มิได้แสดงโดยแจ้งชัดให้ได้ความว่าจำเลยตกลงซื้อสินค้าจากโจทก์เมื่อไรได้รับสินค้าจากโจทก์แล้วหรือไม่เพียงใด หากจำเลยได้รับสินค้าจำเลยได้รับเมื่อไรคุณภาพตรงตามที่จำเลยสั่งซื้อหรือไม่ เพียงใด คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าประมาณเดือนมิถุนายน 2544 จำเลยสั่งซื้อสินค้าจำพวกฟิล์มจากโจทก์ โจทก์จัดส่งสินค้าให้แก่จำเลยและจำเลยได้รับสินค้าจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว รายละเอียดปรากฏตามใบสั่งซื้อ สัญญาซื้อขาย ใบแจ้งหนี้ทางการค้า รายการผลิตภัณฑ์และใบตราส่ง เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 4 ถึง 8 ซึ่งในสัญญาซื้อขายเอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 5 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องระบุสินค้าว่าเป็นแผ่นรองพิมพ์ แม้ในคำฟ้องโจทก์จะบรรยายฟ้องว่าเป็นสินค้าจำพวกฟิล์ม แต่ต่อมาโจทก์ได้ขอแก้ไขคำฟ้องแล้วว่า เป็นสินค้าจำพวกแผ่นรองพิมพ์เพื่อให้ตรงกับที่ระบุในสัญญาซื้อขาย แม้จะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องภายหลังจากที่จำเลยยื่นคำให้การแล้วก็เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรายละเอียดเล็กน้อยเพื่อให้ตรงกับข้อเท็จจริงที่ระบุในสัญญาซื้อขายท้ายคำฟ้อง จึงหาทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้แต่ประการใดไม่ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายและแสดงถึงรายละเอียดเกี่ยวกับใบสั่งซื้อ สินค้าที่ซื้อขาย ใบแจ้งหนี้ทางการค้าและการส่งสินค้าให้แก่จำเลย จึงเป็นคำฟ้องที่ชัดแจ้งแล้ว ส่วนข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยตกลงซื้อสินค้าจากโจทก์และได้รับสินค้าเมื่อไร มีคุณภาพตรงตามที่จำเลยสั่งซื้อหรือไม่ เพียงใด เป็นรายละเอียดที่อยู่ในความรู้เห็นของจำเลย โจทก์หาจำต้องบรรยายไว้ในฟ้องไม่ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า การซื้อขายสินค้าดังกล่าวตกลงชำระเงินโดยโอนผ่านธนาคารเข้าบัญชีของโจทก์ภายใน 90 วัน นับถัดจากวันที่ลงในใบตราส่ง คือนับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2544 จำเลย จึงต้องชำระเงินภายในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2544 หากจำเลยไม่ชำระ โจทก์อาจบังคับตามสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจากจำเลยได้นับแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไป อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันดังกล่าวเป็นต้นไป กรณีหาใช่นับแต่วันส่งมอบสินค้าคือวันที่ 25 กรกฎาคม 2544 หรือวันที่ลงในใบตราส่งคือวันที่ 25 กรกฎาคม 2544 หรือวันที่ลงในใบตราส่งคือวันที่ 8 สิงหาคม 2544 ดังอุทธรณ์ของจำเลยไม่ โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมเรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีกำหนดอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34 (1) โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2546 จึงยังอยู่ในระยะเวลา 2 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์หรือไม่ จำเลยอ้างในอุทธรณ์ว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายเนื่องจากโจทก์ส่งมอบสินค้าด้อยคุณภาพหรือมีคุณภาพต่ำกว่าที่เคยส่งมอบในครั้งก่อนๆ ให้แก่จำเลย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าสินค้าดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยจำเลยมีนายเฉลิมชัย ชินวิกรานต์ กรรมการผู้จัดการของจำเลยให้ถ้อยคำตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงว่า สินค้าที่จำเลยสั่งซื้อจากโจทก์ในครั้งที่ 7 จำเลยได้รับสินค้าที่ด้อยคุณภาพ เมื่อจำเลยนำไปขายให้แก่ลูกค้า ปรากฏว่าลูกค้าเกือบทุกรายคืนสินค้าให้แก่จำเลยตามหนังสือปฏิเสธการสั่งซื้อเอกสารหมาย ล.3 จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ให้แก้ไขเรื่องคุณภาพแล้วตามเอกสารหมาย ล.2 แต่โจทก์ไม่ปรับปรุงแก้ไข จำเลยจึงตกลงกับโจทก์ โดยจำเลยจะชำระค่าสินค้าดังกล่าวก่อนและหากสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อและโจทก์ส่งมาในครั้งที่ 8 คุณภาพไม่ได้มาตรฐานโจทก์จะไม่คิดราคาสินค้าในครั้งที่ 8 ต่อมาสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อและโจทก์ส่งมาในครั้งที่ 8 มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน จำเลยจึงไม่ต้องชำระราคาสินค้าดังกล่าว เห็นว่า จำเลยมีแต่นายเฉลิมชัยมาให้ถ้อยคำลอยๆ ว่าสินค้าจำเลยสั่งซื้อและโจทก์ส่งมาในครั้งที่ 8 เป็นสินค้าที่มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน ทั้งไม่ได้ความว่าจำเลยได้ส่งสินค้าดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์แต่อย่างใด ข้อตกลงที่จำเลยอ้างว่าโจทก์จะไม่คิดราคาสินค้าที่ส่งมาในครั้งที่ 8 หากสินค้ามีคุณภาพไม่ได้มาตรฐานก็ได้ความจากนายเฉลิมชัยตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า เป็นการตกลงด้วยวาจา จึงเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ของพยานจำเลย ไม่มีน้ำหนักให้เชื่อถือ ทั้งจำเลยไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์ถึงคุณภาพของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานดังที่จำเลยอ้างและพยานโจทก์ก็มิได้ยอมรับว่าสินค้าที่โจทก์ส่งมาให้แก่จำเลยในครั้งที่ 8 มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐานแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่า โจทก์กับจำเลยได้มีข้อตกลงกันให้จำเลยไม่ต้องชำระราคาสินค้าที่โจทก์ส่งมาให้จำเลยในครั้งที่ 8 หากสินค้าดังกล่าวมีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน และสินค้าดังกล่าวมีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาชอบแล้วอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share