คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 399/2525

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทโดยเช่าจากจำเลย แม้จะผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า จำเลยก็ชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลขอให้ชำระค่าเช่าและขับไล่ การที่จำเลยนำรถไถเข้าไปไถในที่พิพาทโดยพลการ เป็นการรบกวนการครอบครองที่พิพาทของโจทก์โดยปกติสุข จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุก
ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์มิได้รวมอยู่ในองค์ประกอบความผิดฐานบุกรุก เมื่อภรรยาโจทก์มิได้แจ้งความด้วยว่าการไถดังกล่าวเป็นเหตุให้ต้นกล้วยที่ปลูกไว้เสียหาย ถือได้ว่าโจทก์มิได้ร้องทุกข์ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ด้วย เมื่อมาฟ้องเกิน3 เดือน นับแต่วันที่โจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 359 และ 365 ให้ลงโทษตามมาตรา 365 ปรับ 1,000 บาท จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ทางพิจารณาข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2516 นายชาญ พ่วงศรี บุตรโจทก์ ได้นำที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าไปขายฝากไว้ต่อจำเลย ทำสัญญากันไว้ตามเอกสารหมาย ล.3โดยไม่ได้จดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาระบุไว้ว่ากำหนดไถ่คืนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2516 ถ้าไม่ไถ่คืนภายในกำหนด ยอมมอบสิทธิในที่ดินให้แก่จำเลย นายชาญไม่ไถ่คืนภายในกำหนดจำเลยให้โจกท์เช่าที่พิพาทตั้งแต่วันรับซื้อฝากจนถึงปี พ.ศ. 2521 โจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าให้จำเลย วันเกิดเหตุจำเลยกับพวกนำรถไถเข้าไปไถในที่พิพาท ภรรยาและบุตรโจทก์ห้ามปราม แต่จำเลยกับพวกไม่เชื่อฟังและทำการไถที่พิพาทต่อไปจนแล้วเสร็จ ในวันเดียวกันนั้นภรรยาโจทก์ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอโคกสำโรง ตามเอกสารหมาย ล.4

พิเคราะห์แล้ว ปัญหาข้อแรกที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานบุกรุกหรือไม่ จำเลยเบิกความว่าในปี พ.ศ. 2521เมื่อโจทก์ไม่ชำระค่าเช่าที่พิพาทให้จำเลย จำเลยได้ให้จ่าสิบตำรวจแววสินธุสุวรรณ ไปทวงถาม โจทก์ขอผัดชำระภายใน 1 เดือน ครั้นครบกำหนดโจทก์ขอผัดชำระอีก ซึ่งจำเลยก็ผ่อนผันให้ แต่แล้วโจทก์ก็ไม่จัดการชำระ ต่อมาวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2522 จำเลยไปทวงถามอีกครั้งหนึ่งโจทก์ขอผัดชำระภายใน 15 วัน จำเลยได้บอกโจทก์ว่า ถ้าครบกำหนดแล้วโจทก์ไม่จัดการชำระค่าเช่า จะไม่ให้โจทก์ทำกินในที่พิพาทต่อไป แต่แล้วโจทก์ก็ไม่จัดการชำระ จำเลยจึงตกลงให้นายตรงหรือกลม บัวขาวเช่าที่พิพาทและนำรถไถเข้าไปไถที่พิพาทในวันเกิดเหตุ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์เช่าที่พิพาทจากจำเลยเพื่อทำประโยชน์ โจทก์จึงมีสิทธิครอบครองที่พิพาท แม้โจทก์จะผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าให้จำเลยตามที่จำเลยเบิกความจำเลยก็ชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลขอให้โจทก์ชำระค่าเช่าที่ค้างและขอให้ขับไล่โจทก์ การที่จำเลยกับพวกนำรถไถเข้าไปในที่พิพาทโดยพลการเป็นการรบกวนการครอบครองที่พิพาทของโจทก์โดยปกติสุข จำเลยจึงมีความผิดฐานบุกรุกตามโจทก์ฟ้อง ปัญหาข้อต่อไปมีว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ด้วยหรือไม่ โจทก์เบิกความว่าเมื่อจำเลยกับพวกนำรถไถเข้าไปไถในที่พิพาทแล้ว ภรรยาโจทก์ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอโคกสำโรงในวันเกิดเหตุ และตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล.4 ภรรยาโจทก์แจ้งความต่อร้อยตรำวจเอกเหรียญแก่นศึกษา พนักงานสอบสวนความว่า วันเกิดเหตุจำเลยได้นำรถไถเข้าไปไถในที่พิพาท ภรรยาโจทก์ห้ามปรามก็ไม่เชื่อฟัง จึงมาแจ้งความให้ดำเนินคดีต่อไปศาลฎีกาเห็นว่า ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 359 เป็นความผิดอันยอมความได้ ซึ่งผู้เสียหายจะต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 96 ทั้งความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์มิได้รวมอยู่ในองค์ประกอบความผิดฐานบุกรุก เมื่อภรรยาโจทก์ มิได้แจ้งความด้วยว่า การที่จำเลยนำรถไถเข้าไปไถในที่พิพาทเป็นเหตุให้ต้นกล้วยที่ปลูกไว้เสียหาย ถือได้ว่าสำหรับความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โจทก์มิได้ร้องทุกข์ไว้ ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 8กุมภาพันธ์ 2523 ซึ่งเป็นเวลา 11 เดือนเศษ นับแต่วันที่โจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จึงขาดอายุความโจทก์ไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share