แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ปัญหาว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้ ส. ดำเนินคดีแทนโจทก์หรือไม่ เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะหากปรากฏว่าโจทก์มิได้มอบอำนาจให้ ส. ดำเนินคดีแทนโจทก์ โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องและศาลย่อมพิพากษายกฟ้อง แม้จำเลยที่ 3 มิได้ให้การปฏิเสธไว้ ก็มีสิทธิยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้นำสืบในเรื่องการมอบอำนาจไว้เพราะมีจำเลยอื่นขาดนัดพิจารณา แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานดังกล่าวได้ว่าได้มีการมอบอำนาจกันจริง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยที่ 1 ทำไว้แก่โจทก์มีกำหนดเวลา 6 เดือน โดยมีข้อความในสัญญาค้ำประกันเท้าความถึงสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีว่ามีจำนวนเงิน 50,000 บาท และจำเลยที่ 3 สมัครใจยอมค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีตลอดจนดอกเบี้ย ดังนี้ เมื่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำกัดวงเงินเบิกเกินบัญชีไว้ไม่เกิน 50,000 บาท ความรับผิดของจำเลยที่ 3 จึงจำกัดเฉพาะจำนวนเงินไม่เกิน 50,000 บาทกับดอกเบี้ยเท่านั้น
เมื่อปรากฏว่าหนึ่งวันก่อนครบ 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญา จำเลยที่ 1เป็นหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย 95,000 บาทเศษ ไม่อาจแยกได้ว่า ในจำนวนนี้เป็นเงินเบิกเกินบัญชีเท่าใดและเป็นดอกเบี้ยเท่าใด ทั้งไม่ได้ความชัดว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีรวมกับดอกเบี้ยของเงินจำนวนนั้นถึง 50,000 บาท เมื่อใดในระหว่างระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญาจำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดในยอดหนี้ในวันดังกล่าวเพียง 50,000 บาทเท่านั้น
เมื่อมีการปฏิบัติต่อกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามบัญชีเดินสะพัดการชำระหนี้ย่อมจะต้องปฏิบัติตามวิธีการของสัญญาบัญชีเดินสะพัดคือให้กระทำได้เมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือเมื่อครบกำหนด 6 เดือนตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี จำเลยที่ 1 มิได้ชำระหนี้ให้หมดสิ้น และโจทก์มิได้หักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือ แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังเจตนาให้มีบัญชีเดินสะพัดอยู่ต่อไปต่อมาโจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วันนับแต่วันได้รับหนังสือซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 29 มีนาคม 2522 เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ชำระจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดและได้มีการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดในวันที่ 29 มีนาคม 2522 โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้จนถึงวันดังกล่าวต่อแต่นั้นไปคงเรียกได้แต่ดอกเบี้ยธรรมดา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับธนาคารโจทก์ สาขาสำโรง ในวงเงินไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท กำหนดระยะเวลา ๖ เดือน นับแต่วันทำสัญญาสำหรับจำนวนเงินที่เบิกเงินเกินบัญชีไปให้ถือเอาตามบัญชีกระแสรายวันในวันเดียวกันจำเลยที่ ๓ ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวโดยยินยอมร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ชดใช้เงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์จนครบถ้วนต่อมาจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้เบิกเงินและรับเงินไปจากโจทก์หลายครั้งจนถึงวันครบกำหนดตามสัญญาคือวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๒๐ เกินบัญชีไปเป็นเงิน ๙๔,๑๙๙ บาท ๑๖ สตางค์ โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้แก่โจทก์ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันได้รับหนังสือทวงถาม จำเลยจะต้องชำระหนี้ภายในวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๒๒ อันเป็นวันครบกำหนดที่จำเลยได้รับหนังสือทวงถาม แต่จำเลยเพิกเฉย หนี้ถึงวันผิดนัดเป็นเงิน ๑๒๗,๑๑๕ บาท ๖๘ สตางค์ ดอกเบี้ยตั้งแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องอีก ๒,๙๗๗ บาท ๖๕ สตางค์ ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้ภายในวงเงินไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท มีกำหนด ๖ เดือนเท่านั้น จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑ เบิกเกินไปกว่า ๕๐,๐๐๐ บาท ควรคิดดอกเบี้ยทบต้นจากเงินที่เบิกไปเมื่อครบ ๖ เดือนแล้วไม่ถูกต้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ถึงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๒๒ อันเป็นวันผิดนัดเป็นเงิน ๑๒๗,๑๑๕ บาท ๖๘ สตางค์ ข้อความตามสัญญาค้ำประกันซึ่งจำเลยที่ ๓ ทำไว้มิได้จำกัดความรับผิดของผู้ค้ำประกันไว้เพียง ๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๓ ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดใช้เงินต้นและดอกเบี้ยตามฟ้อง
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารโจทก์ สาขาสำโรง เอกสารหมาย จ.๓ มีความว่า จำเลยที่ ๑ ขอเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์เป็นจำนวนไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท มีกำหนดระยะเวลา ๖ เดือนนับจากวันทำสัญญา ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีจำเลยที่ ๑ ต้องชำระดอกเบี้ยเป็นรายเดือนภายในวันที่ ๕ ของเดือนถัดไปทุกเดือนหากไม่ชำระยอมให้นำดอกเบี้ยรวมเข้ากับเงินเบิกเกินบัญชีและกลายเป็นเงินเบิกเกินบัญชี และในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ นั้นจำเลยที่ ๓ ได้ทำสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.๔ มีความว่าเนื่องจากธนาคารโจทก์ยอมให้จำเลยที่ ๑ เบิกเงินจากโจทก์ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีลงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เป็นจำนวนเงิน ๕๐,๐๐๐ บาทนั้น จำเลยที่ ๓ ทราบข้อความในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวโดยตลอดแล้ว จำเลยที่ ๓ สมัครใจยอมเข้าค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวแล้วตลอดจนดอกเบี้ย และเงื่อนไขในสัญญาดังกล่าวนั้นทั้งสิ้นจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้โดยครบถ้วน แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า
ปัญหาที่จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายเสนีย์ดำเนินคดีแทนโจทก์ เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยที่ ๓ มิได้ให้การปฏิเสธไว้ก็มีสิทธิยกขึ้นอุทธรณ์ได้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบ พิเคราะห์แล้วหากทางพิจารณาปรากฏว่าโจทก์มิได้มอบอำนาจให้นายเสนีย์ดำเนินคดีแทนโจทก์ โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องและศาลย่อมพิพากษายกฟ้อง ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยที่ ๓ ยกขึ้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๕ วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยแต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ไปทีเดียวปรากฏว่าจำเลยที่ ๓ มิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์มิได้มอบอำนาจให้นายเสนีย์ดำเนินคดีแทนโจทก์เหตุที่โจทก์นำสืบในข้อนี้เนื่องจากจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขาดนัดพิจารณา แล้ววินิจฉัย ข้อเท็จจริงเชื่อว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายเสนีย์ดำเนินคดีแทนโจทก์จริง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ที่จำเลยที่ ๓ ฎีกาต่อไปว่า ตามสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดต่อโจทก์ในวงเงินไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาทและดอกเบี้ยนั้น เห็นว่าข้อความในสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.๔ เท้าความถึงสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ.๓ ว่ามีจำนวนเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท แล้วมีข้อความอีกว่าจำเลยที่ ๓ สมัครใจยอมค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีนั้นตลอดจนดอกเบี้ย ดังนี้ เมื่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ.๓ จำกัดวงเงินเบิกเกินบัญชีไว้ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ความรับผิดของจำเลยที่ ๓ จึงจำกัดเฉพาะจำนวนเงินที่จำเลยที่ ๑ เบิกเกินบัญชีไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ยของเงินจำนวนนั้นเท่านั้น หากโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ ๑ เบิกเงินเกินบัญชีไปเกินกว่า ๕๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๓ ก็ไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่เบิกเกิน ๕๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินที่เบิกเกิน ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย ๙๕,๓๙๘ บาท ๓๕ สตางค์ (หลังจากนั้นบัญชีของจำเลยที่ ๑ ไม่มีการเข้าออกแต่อย่างใดโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นเงิน ๑๓๐,๐๙๓ บาท ๓๓ สตางค์ ส่วนที่เกิน ๙๕,๓๙๘ บาท ๓๕ สตางค์เป็นดอกเบี้ยซึ่งเกิดจากจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีทั้งสิ้น) ไม่อาจแยกได้ว่าในจำนวนนี้เป็นเงินเกินบัญชีเท่าใดและเป็นดอกเบี้ยเท่าใดทั้งไม่ได้ความชัดว่าจำเลยที่ ๑ เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีรวมกับดอกเบี้ยของเงินจำนวนนั้นถึง ๕๐,๐๐๐ บาท เมื่อใดในระหว่างระยะเวลา ๖ เดือนนับแต่วันทำสัญญา ดังนี้เห็นว่า จะให้จำเลยที่ ๓ ต้องรับผิดในยอดหนี้เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๒๐ เป็นเงินถึง ๙๕,๓๙๘ บาท ๓๕ สตางค์ มิได้เพราะอาจมีเงินเบิกเกินบัญชีเกินกว่า ๕๐,๐๐๐ บาทก็ได้ จำเลยที่ ๓ จึงชอบที่จะต้องรับผิดในยอดหนี้ถึงวันดังกล่าวเพียง ๕๐,๐๐๐ บาท เท่านั้น
ปัญหาเรื่องการเรียกดอกเบี้ยทบต้นนั้นเห็นว่า สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นข้อตกลงที่จะให้มีบัญชีเดินสะพัด เมื่อมีการปฏิบัติตามบัญชีเดินสะพัดต่อกันแล้ว การชำระหนี้ย่อมจะต้องปฏิบัติตามวิธีการของสัญญาบัญชีเดินสะพัด คือให้กระทำได้เมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือ ปรากฏว่าในวันครบกำหนด ๖ เดือนตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำเลยที่ ๑ มิได้ชำระหนี้ให้หมดสิ้น และโจทก์ก็มิได้หักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือแต่อย่างใด แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ ๑ ยังเจตนาให้มีบัญชีเดินสะพัดอยู่ต่อไป โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามลงวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๒๒ไปยังจำเลยที่ ๑ ให้จัดการชำระหนี้ตามยอดหนี้ในบัญชีกระแสรายวันซึ่งคิดเพียงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ เป็นเงิน ๑๒๕,๔๖๔ บาท ๐๓ สตางค์ ให้เสร็จสิ้นภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ จำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือทวงถามแล้วครบกำหนดในวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๒๒ แต่หาได้ชำระหนี้ไม่ ในวันครบกำหนดตามหนังสือทวงถามยอดหนี้ตามบัญชีกระแสรายวัน ๑๒๗,๑๑๕ บาท ๖๘ สตางค์ดังนี้ จึงถือว่าได้มีการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและจำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๒๒ นั่นเอง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยทบต้นได้จนถึงวันที่กล่าวนั้น ตั้งแต่นั้นไปสัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกกันและจำเลยที่ ๑ ผิดนัดแล้วโจทก์จะเรียกดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ คงเรียกได้แต่ดอกเบี้ยธรรมดา
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๓ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ชำระเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๒๐ จนถึงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๒๒ และดอกเบี้ยธรรมดาอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีในต้นเงินจำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท ซึ่งรวมกับดอกเบี้ยทบต้นเข้าด้วยแล้วนับแต่วันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๒๒ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ