คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3987/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามสัญญาค้ำประกันรวม 3 ฉบับ ในมูลหนี้ค้ำประกันคงเหลือ และค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระ การพิจารณาถึงสิทธิในการขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้จึงต้องแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ ในภาระค้ำประกันคงเหลืออันเป็นหนี้ที่เจ้าหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกัน ลูกหนี้จะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้รายที่ 190 ซึ่งเป็นการขอรับชำระหนี้ตามภาระค้ำประกันที่คงเหลือในจำนวนที่อาจใช้สิทธิไล่เบี้ยในภายหน้า เมื่อปรากฏว่าเจ้าหนี้ที่ 190 ขอรับชำระหนี้ไว้เต็มจำนวนแล้ว เจ้าหนี้ย่อมไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้ส่วนนี้อีกตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย ฯ มาตรา 90/27 วรรคสอง ส่วนหนี้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระ เป็นหนี้ค่าตอบแทนแก่เจ้าหนี้ที่ลูกหนี้ตกลงจ่ายให้ในการขอให้เจ้าหนี้ออกหนังสือค้ำประกันหนี้ที่ลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้รายที่ 190 จึงเป็นการขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ที่ลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้โดยตรง เจ้าหนี้จะมีสิทธิได้รับชำระหนี้เพียงใดจะต้องพิจารณาตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย ฯ มาตรา 90/27 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 และตั้งให้บริษัทเอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส จำกัด เป็นผู้ทำแผน ต่อมาศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2543 โดยมีบริษัทเอ็ฟเฟ็คทีฟ แพลนเนอร์ส จำกัด เป็นผู้บริหารแผน
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ ในมูลหนี้สัญญาทรัสต์รีซีท สัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงิน สัญญาขายลดตั๋วเงิน สัญญากู้ยืม สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี สัญญาค้ำประกัน สัญญา Standby Letter of Credit หุ้นกู้มีประกันและไม่มีประกันและหนี้ตามภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีรวม 143 อันดับ เป็นเงินจำนวน 35,025,927,105.09 บาท จำนวน 55,708,473.67 ดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 23,258,920.30 มาร์กเยอรมัน และจำนวน 37,102,386.22 เยน พร้อมดอกเบี้ยตามอัตราที่ระบุไว้ในสัญญาที่เกี่ยวข้อง นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะชำระเสร็จ ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร สะพานท่าเทียบเรือน้ำลึก และทรัพย์สินอื่น ๆ รายละเอียดและวงเงินหนี้มีประกันตามบัญชีแนบท้ายคำขอรับชำระหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ให้บรรดาเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และผู้ทำแผนตรวจคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/29 แล้ว ผู้ทำแผนโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ลำดับที่ 33 ถึงที่ 35 ที่ 36 ที่ 38 ที่ 39 ถึงที่ 41 และที่ 44 ว่า มูลหนี้ของผู้ค้ำประกันซ้ำซ้อนกับมูลหนี้ของเจ้าหนี้รายอื่น ซึ่งยื่นคำขอรับชำระหนี้มาด้วย ผู้ค้ำประกันไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้อีก ทั้งมีการคิดค่าธรรมเนียมเกินวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ มูลหนี้ลำดับที่ 42 เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ไม่ตรงกับจำนวนหนี้จริง เนื่องจากระยะเวลาในการคำนวณค่าธรรมเนียมไม่ถูกต้อง มูลหนี้ลำดับที่ 56 ที่ 57 ที่ 134 และที่ 135 เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้เดียวกัน ทั้งจากลูกหนี้และลูกหนี้อื่น ๆ ซ้ำซ้อนกัน และมูลหนี้ลำดับที่ 56 ที่ 57 เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้สูงเกินกว่าภาระที่กำหนดไว้ในสัญญาค้ำประกัน มูลหนี้ลำดับที่ 134 ที่ 135 เจ้าหนี้มิได้แสดงวิธีคำนวณค่าธรรมเนียมมาด้วย
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้มูลหนี้ลำดับที่ 1 ถึงที่ 4 ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิต เป็นเงิน 212,656,105.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 186,798,643.42 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 5 ถึงที่ 23 ตามสัญญาทรัสต์รีซีทเป็นเงิน 7,290,061,887.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 5,501,704,587.41 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 24 ถึงที่ 26 ตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นเงิน 861,117,329.62 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 650,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 27 ถึงที่ 30 ตามสัญญากู้เงิน เป็นเงิน 448,316,658.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 351,660,860.59 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 31 และที่ 32 ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นเงิน 25,261,201.34 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 25,161,798.64 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 33 ถึงที่ 35 ตามสัญญาค้ำประกันให้ยกคำขอรับชำระหนี้เสียทั้งสิ้น มูลหนี้ลำดับที่ 36 ค่าธรรมเนียมค้ำประกันเป็นเงิน 1,309,554.72 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินที่จ่ายตามสัญญาค้ำประกันเป็นเงิน 1,566,829,926.22 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 1,465,154,678.58 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 37 ตามสัญญาค้ำประกัน โดยมีเงื่อนไขว่าเจ้าหนี้ได้ชำระหนี้ไปแทนลูกหนี้ตามภาระหนี้ค้ำประกันเพียงใดให้ได้รับชำระหนี้เพียงนั้น (ในวงเงิน 130,000,000 บาท) และค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระเป็นเงิน 5,687,500 บาท มูลหนี้ลำดับที่ 38 ถึงที่ 44 ตามสัญญาค้ำประกัน โดยแยกเป็นค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 11,439,405.39 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินที่จ่ายตามสัญญาค้ำประกันเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 15,436,266,196.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 14,239,862,650.74 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 45 และที่ 46 ตามสัญญาค้ำประกันขายตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทไทย เอ บี เอส จำกัด เป็นเงิน 93,481,328.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 70,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 47 ถึงที่ 53 ตามสัญญาทรัสต์รีซีท เป็นเงิน 419,696,799.82 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 316,429,746.65 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 54 ตามสัญญาค้ำประกันหนี้และสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของบริษัทไทย เอ บี เอส จำกัด เป็นเงิน 28,537,954.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 28,419,604.35 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 55 ตามสัญญาค้ำประกันเงินกู้ BIBF ของบริษัทไทย เอ บี เอส จำกัด เป็นเงิน 18,744,068.41 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 16,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ
นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 56 และที่ 57 ตามสัญญาค้ำประกัน แยกเป็นค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระเป็นเงิน 315,439.25 มาร์กเยอรมัน และจำนวน 262,906.94 ดอลลาร์สหรัฐและเงินที่จ่ายตามสัญญาพร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 264,365,161.84 บาท และหากเจ้าหนี้ได้ชำระหนี้ตามสัญญาไปเท่าใดก็ให้ได้รับชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาเท่านั้น โดยมีเงื่อนไขให้ได้รับชำระหนี้เฉพาะในส่วนที่ยังไม่ได้รับชำระหนี้คืนจากบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้ชั้นต้น มูลหนี้ลำดับที่ 58 และที่ 71 ตามสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ เป็นเงิน 12,239,176.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา ของต้นเงินในมูลหนี้ลำดับที่ 58 เป็นเงิน 2,004,790.02 บาท และต้นเงินในมูลหนี้ลำดับที่ 71 เป็นเงิน 9,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 72 หุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิของลูกหนี้ เป็นเงิน 290,764,931.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามใบหุ้นของต้นเงิน 236,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 73 ตามสัญญาค้ำประกันเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี เป็นเงิน 1,118,486.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 1,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 74 และที่ 75 หุ้นกู้มีประกันของบริษัทไทย เอ บี เอส จำกัด เป็นเงิน 456,879,461.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามข้อกำหนดในหุ้นกู้ของต้นเงิน 334,100,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 76 และที่ 77 ตามสัญญาค้ำประกันหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของบริษัทไทย เอ บี เอส พลาสติก จำกัด และบริษัทน้ำมันทีพีไอ จำกัด เป็นเงิน 53,784,043.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 27,718,857.85 บาท และจำนวน 20,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 78 ตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นเงิน 39,834,904.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา ของต้นเงิน 30,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 80 ค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระเป็นเงิน 1,260 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นแล้วเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 81 ที่ 82 ที่ 84 ที่ 86 ถึงที่ 94 ตามภาระหนี้ค้ำประกันคงเหลือเป็นเงิน 291,000 บาท โดยให้ได้รับชำระหนี้เฉพาะที่ยังไม่ได้รับชำระจากลูกหนี้ชั้นต้น มูลหนี้ลำดับที่ 95 ถึงที่ 132 ตามสัญญาทรัสต์รีซีท เป็นเงิน 298,553,013.98 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 221,353,468.40 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 133 ถึงที่ 138 ตามสัญญาค้ำประกันเงินที่จ่ายตามสัญญา เป็นเงิน 1,759,425,552.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 1,055,276,697.07 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ และค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระเป็นเงิน 37,102,386.22 เยน จำนวน 895,038.05 ดอลลาร์สหรัฐ และจำนวน 211,273.33 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใด ให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 139 และที่ 140 ตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน เป็นเงิน 4,586,841,785.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 3,400,000,000 บาท นับถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 141 ตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นเงิน 678,719,178.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 500,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 142 ตามสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีของบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด เป็นเงิน 18,071,956.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 18,001,677.84 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 143 ตามภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นเงิน 149,242.80 ดอลลาร์สหรัฐและจำนวน 6,309.91 ปอนด์สเตอร์ลิง พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระหนี้เสร็จ จากบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้ ทั้งนี้ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันในวงเงินตามสัญญาจำนองเครื่องจักรฉบับลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2541 วันที่ 14 ตุลาคม 2540 วันที่ 12 มีนาคม 2541 วันที่ 8 มิถุนายน 2541วันที่ 11 ธันวาคม 2534 วันที่ 31 กรกฎาคม 2540 วันที่ 21 กรกฎาคม 2541 สัญญาจำนองสิ่งปลูกสร้างในโครงการ Condensate Splitter Phase II สัญญาจำนองสะพานท่าเทียบเรือน้ำลึก และสัญญาจำนองที่ดินเป็นประกัน ฉบับลงวันที่ 4 สิงหาคม 2536 และสัญญาจำนองที่ดินรวม 54 โฉนด ฉบับลงวันที่ 25 สิงหาคม 2523 พร้อมบันทึกข้อตกลงแก้ไขเพิ่มเติมฉบับต่าง ๆ
เจ้าหนี้ยื่นคำร้องคัดค้านว่า ตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในมูลหนี้ลำดับที่ 5 ถึงที่ 23 ที่มีคำสั่งว่า… ตามสัญญาทรัสต์รีซีท เป็นเงิน 7,290,061,887.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา… คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คลาดเคลื่อนเล็กน้อยให้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็น… ตามสัญญาทรัสต์รีซีท เป็นเงิน 7,290,061,887.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา… มูลหนี้ลำดับที่ 33 ถึงที่ 35 ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์วินิจฉัยว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า KREDITANSTALT FUR WIEDERAUFBAU เจ้าหนี้รายที่ 190 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ชั้นต้นของลูกหนี้ ได้ยื่นขอรับชำระหนี้จากลูกหนี้ไว้เต็มจำนวนแล้ว เจ้าหนี้รายนี้จึงไม่มีสิทธิจะขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้อีก… และได้มีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ลำดับที่ 33 ถึงที่ 35 เสียทั้งสิ้นนั้น คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังผิดพลาดคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง เนื่องจากในระหว่างการสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ ได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่า KREDITANSTALT FUR WIEDERAUFBAU ได้ใช้สิทธิเรียกร้องให้เจ้าหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันรับผิดชำระหนี้แทนลูกหนี้เป็นเงินจำนวน 1,214,619.66 มาร์กเยอรมัน รายละเอียดปรากฏตามคำร้องที่เจ้าหนี้ได้ยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ฉบับลงวันที่ 25 สิงหาคม 2543 ซึ่งเจ้าหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันมีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาค้ำประกันด้วยการชำระเงินให้แก่ KREDITANSTALT FUR WIEDERAUFBAU ตามกำหนดเวลาที่ KREDITANSTALT FUR WIEDERAUFBAU เรียกร้องให้เจ้าหนี้ชำระหนี้ดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2543 เจ้าหนี้ได้ชำระเงินตามภาระค้ำประกันคิดเป็นเงินสกุลบาทจำนวน 23,000,886.85 บาท เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2543 เจ้าหนี้ได้ชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันพร้อมค่าใช้จ่ายในการโอนเป็นเงิน 200,565,028 บาท ในการที่ลูกหนี้ขอให้เจ้าหนี้ออกหนังสือค้ำประกัน เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ตาม Loan Agreement ที่ลูกหนี้ขอกู้เงินจาก KREDITANSTALT FUR WIEDERAUFBAU นั้น ลูกหนี้ได้ค้างชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันในมูลหนี้ลำดับที่ 33 ถึงที่ 35 ดังนี้ มูลหนี้ลำดับที่ 33 จำนวน 243,803.92 มาร์กเยอรมัน มูลหนี้ลำดับที่ 34 จำนวน 269,239.63 มาร์กเยอรมัน มูลหนี้ลำดับที่ 35 จำนวน 734,400 มาร์กเยอรมัน และจำนวน 35,336.12 ดอลลาร์สหรัฐ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ได้วินิจฉัยให้ลูกหนี้ชำระเงินค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระดังกล่าวให้แก่เจ้าหนี้แต่อย่างใด กลับมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ลำดับที่ 33 ถึงที่ 35 เสียทั้งสิ้น จึงยังไม่ถูกต้อง เนื่องจากเจ้าหนี้ได้ชำระหนี้บางส่วนให้แก่ KREDITANSTALT FUR WIEDERAUFBAU เจ้าหนี้ไปตามสัญญาค้ำประกันแล้ว และลูกหนี้ได้ผิดนัดชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน ขอให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ลำดับที่ 33 ถึงที่ 35 เป็นว่า ให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้ลำดับที่ 33 ถึงที่ 35 โดยมีเงื่อนไขว่า หากเจ้าหนี้ได้ชำระเงินตามภาระค้ำประกันให้แก่ KREDITANSTALT FUR WIEDERAUFBAU ไปเป็นเงินจำนวนเท่าใด ก็ให้ได้รับช่วงสิทธิรับชำระหนี้คืนจากลูกหนี้ในจำนวนเท่านั้น นอกจากนี้ให้ลูกหนี้ชำระหนี้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระตามมูลหนี้ลำดับที่ 33 ถึงที่ 35 ตามคำขอรับชำระหนี้เป็นเงินจำนวน 243,803.92 มาร์กเยอรมัน จำนวน 269,239.63 มาร์กเยอรมัน จำนวน 734,400 มาร์กเยอรมัน และจำนวน 35,336.12 ดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ มูลหนี้ลำดับที่ 36 ที่ 38 ถึงที่ 40 ตามสัญญาค้ำประกันที่เจ้าหนี้ได้ชำระแทนลูกหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ราย LUCKY GOLDSTAR INTERNATIONAL CORP. ไปตามสัญญาค้ำประกันแต่ละฉบับ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดจำนวนเงินเฉพาะในส่วนของต้นเงินโดยไม่ได้นำดอกเบี้ยรวมคำนวณไปด้วย ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้ลำดับที่ 36 ที่ 38 ถึงที่ 40 ในจำนวนเงินที่เจ้าหนี้จ่ายให้แก่ LUCKY GOLDSTAR INTERNATIONAL CORP. พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงินจำนวน 1,566,829,926.22 บาท จำนวน 2,772,926,926.46 บาท จำนวน 7,555,791,587.24 บาท จำนวน 2,311,475,282.07 บาท ตามลำดับมูลหนี้ลำดับที่ 37 ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งว่า… ตามสัญญาค้ำประกัน โดยมีเงื่อนไขว่าเจ้าหนี้ได้ชำระหนี้ไปแทนลูกหนี้ตามภาระหนี้ค้ำประกันเพียงใดให้ได้รับชำระหนี้เพียงนั้น (ในวงเงิน 130,000,000 บาท) และค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระเป็นเงิน 5,687,500 บาท นั้น ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดเงื่อนไขให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เฉพาะในวงเงิน 130,000,000 บาท เนื่องจากตามคำขอออกหนังสือเพื่อการค้ำประกัน (Application for Standby Letter of Credit) ฉบับลงวันที่ 13 กันยายน 2537 ในข้อ 1 ได้ระบุเงื่อนไขว่า ลูกหนี้ตกลงยินยอมชำระหรือชดใช้หนี้ดอกเบี้ย ค่าใช้จ่าย และความเสียหายใด ๆ ที่เจ้าหนี้ได้รับหรือต้องชำระไปตามหนังสือเพื่อการค้ำประกัน การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เฉพาะในวงเงิน 130,000,000 บาท จึงไม่ถูกต้อง ขอศาลมีคำสั่งให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน โดยมีเงื่อนไขว่าเจ้าหนี้ได้ชำระหนี้แทนลูกหนี้ไปตามภาระหนี้ค้ำประกันเพียงใดให้ได้รับชำระหนี้เพียงนั้น (ในวงเงิน 130,000,000 บาท) พร้อมด้วยดอกเบี้ยค่าใช้จ่าย และความเสียหายใด ๆ และค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระเป็นเงิน 5,687,500 บาท มูลหนี้ลำดับที่ 47 ถึงที่ 53 ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งว่า …ตามสัญญาทรัสต์รีซีทเป็นเงิน 419,696,799.82 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 316,429,746.65 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้ระบุชื่อลูกหนี้ชั้นต้นไว้ในคำสั่งว่าหมายถึงลูกหนี้รายใดหรือบุคคลใด อาจทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนและเกิดความสับสนได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยระบุชื่อลูกหนี้ชั้นต้น มูลหนี้ลำดับที่ 56 และที่ 57 ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดให้ได้รับชำระหนี้เงินที่จ่ายตามสัญญา พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 264,365,161.84 บาท โดยมิได้กำหนดให้เจ้าหนี้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จนั้นยังไม่ถูกต้อง ทั้งนี้ เนื่องจากจำนวนเงินตามภาระค้ำประกันที่เจ้าหนี้ได้ชำระแทนลูกหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ชั้นต้นไปก่อนตามสัญญาค้ำประกันนั้น ลูกหนี้ได้ยินยอมให้เจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยได้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้เสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 58 ที่ 71 ที่ 73 ที่ 76 ที่ 77 ที่ 78 ที่ 80 ที่ 81 ที่ 82 ที่ 84 ที่ 86 ถึงที่ 94 ที่ 141 ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่ง โดยมิได้ระบุชื่อลูกหนี้ชั้นต้นไว้ในคำสั่งว่าหมายถึงลูกหนี้รายใดหรือบุคคลใด เจ้าหนี้เห็นว่าอาจทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนและเกิดความสับสนได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคำขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการในมูลหนี้ดังกล่าวโดยระบุชื่อผู้ค้ำประกันให้ครบถ้วนถูกต้อง มูลหนี้ลำดับที่ 72 ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งว่า …หุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิของลูกหนี้ เป็นเงิน 290,764,931.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามใบหุ้นของต้นเงิน 236,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ จนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้อันดับนี้ผู้ทำแผนมิได้โต้แย้งคัดค้านคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้แต่ประการใด ซึ่งตามพระราชบัญญัติล้มละลาย ฯ มาตรา 90/32 ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจสั่งอนุญาตให้รับชำระหนี้ได้ ดังนั้น เจ้าหนี้จึงควรได้รับชำระหนี้เต็มตามคำขอรับชำระหนี้ แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้น้อยกว่าจำนวนเงินตามคำขอรับชำระหนี้เป็นเงินจำนวน 7,375,000 บาท ดังนั้น ขอให้ศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้เป็นเงิน 298,139,931.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามใบหุ้นของต้นเงิน 236,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 95 ถึงที่ 132 ตามสัญญาทรัสต์รีซีทของบริษัททีพีไอ โพลีออล จำกัด นั้น เจ้าหนี้ได้แถลงขอลดยอดหนี้ตามคำขอรับชำระหนี้จำนวน 105,340.70 บาท ทำให้จำนวนหนี้ตามมูลหนี้ลำดับที่ 95 ถึงที่ 132 คงเหลือ 298,447,673.28 บาท เจ้าหนี้จึงคงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามสัญญาทรัสต์รีซีทของบริษัททีพีไอ โพลีออล จำกัด เป็นเงินรวม 298,447,673.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 221,353,468.40 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 133 ถึงที่ 138 ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งว่า … ตามสัญญาค้ำประกัน เป็นเงินที่จ่ายตามสัญญา รวม 1,759,425,552.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 1,055,276,697.07 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ และค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระเป็นเงิน 37,102,386.22 เยน จำนวน 895,038.05 ดอลลาร์สหรัฐ และจำนวน 211,273.33 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นแล้วเพียงใด ให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น ตามรายงานเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ฉบับลงวันที่ 7 กันยายน 2543 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้จดรายงานว่า “คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงร่วมกันว่า สำหรับมูลหนี้ลำดับที่ 134 และที่ 135 มีประเด็นที่ตกลงกันไม่ได้ในเรื่องการคิดค่าธรรมเนียม ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะทำบันทึกถ้อยคำ ในมูลหนี้ดังกล่าวมาส่งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์… ดังนั้น ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำนวนเงินที่เจ้าหนี้ได้ชำระแทนลูกหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ชั้นต้นไปตามสัญญาค้ำประกันในมูลหนี้ลำดับที่ 134 และที่ 135 จึงเป็นอันยุติตามคำขอรับชำระหนี้ และพยานหลักฐานที่เจ้าหนี้ได้นำเสนอเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า เจ้าหนี้ได้ชำระเงินแทนลูกหนี้ไปจริง แต่การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งว่า มูลหนี้ลำดับที่ 133 ถึงที่ 138 ตามสัญญาค้ำประกัน เป็นเงินที่จ่ายตามสัญญา รวม 1,759,425,552.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 1,055,276,697.07 บาท จึงยังไม่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง เนื่องจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังไม่ได้นำต้นเงินในมูลหนี้ลำดับที่ 134 จำนวน 563,477,307.56 บาท ที่เจ้าหนี้ได้ชำระเงินแทนลูกหนี้ไปตามสัญญาค้ำประกันมารวมเพื่อเป็นฐานในการคำนวณดอกเบี้ย นอกจากนี้ตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระในมูลหนี้ลำดับที่ 134 และที่ 135 ว่าให้เจ้าหนี้มีสิทธิคิดค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามระเบียบของธนาคารดังกล่าวได้ ลูกหนี้ต้องรับผิดค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามที่เจ้าหนี้ขอมา แต่จากคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในมูลหนี้ลำดับที่ 133 ถึงที่ 138 ได้กำหนดค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระ เป็นเงิน 37,102,386.22 เยน จำนวน 895,038.05 ดอลลาร์สหรัฐ และจำนวน 211,273.33 บาท ซึ่งยังไม่ตรงต่อข้อเท็จจริง เนื่องจากเจ้าหนี้ได้แถลงข้อเท็จจริงว่า จำนวนเงินค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระจำนวน 211,273.33 บาท ได้ลดลงเหลือจำนวน 18,366.67 บาท ประกอบกับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มิได้นำต้นเงินค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระในมูลหนี้ลำดับที่ 133 เป็นเงินจำนวน 151,266.67 บาท มารวมคำนวณไว้ด้วย ขอให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขให้ถูกต้อง มูลหนี้ลำดับที่ 139 และที่ 140 ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ มีคำสั่งว่า …ตามสัญญาขายลดตั๋วเงิน เป็นเงินรวม 4,586,841,785.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 3,400,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ระบุจำนวนหนี้และต้นเงินของมูลหนี้ทั้งสองอันดับรวมไว้ด้วยกัน เจ้าหนี้เห็นว่า อาจทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนและเกิดความสับสนได้ เนื่องจากบริษัทฯ ที่นำตั๋วเงินมาขายลดให้กับเจ้าหนี้เป็นคนละบริษัทกัน จึงควรแยกมูลหนี้ลำดับที่ 139 และที่ 140 ไว้ต่างหากจากกัน ขอศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ชัดเจน
ผู้ทำแผนยื่นคำร้องคัดค้านว่า มูลหนี้ลำดับที่ 95 ถึงที่ 132 เจ้าหนี้ได้คิดคำนวณดอกเบี้ยจากต้นเงินจำนวน 221,353,468.40 บาท เกินวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ (15 มีนาคม 2543) ของลูกหนี้เป็นจำนวน 1 วัน กล่าวคือ เจ้าหนี้คิดดอกเบี้ยจนถึงวันที่ 16 มีนาคม 2543 เมื่อคำนวณดอกเบี้ยจนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการคดีนี้แล้วเป็นดอกเบี้ยจำนวน 82,048,580.30 บาท อย่างไรก็ดี เมื่อนำเงินดอกเบี้ยข้างต้นทั้งหมดจำนวน 82,048,580.30 บาท มาหักกับเงินดอกเบี้ยที่ลูกหนี้ได้ชำระบางส่วนให้แก่เจ้าหนี้แล้วจำนวน 4,954,375.42 บาท จะคงเหลือดอกเบี้ยค้างชำระเป็นเงิน 77,094,204.88 บาท ดังนั้น เมื่อนำเงินดอกเบี้ยค้างชำระดังกล่าวนี้รวมกับต้นเงินของมูลหนี้ข้างต้น จะรวมเป็นยอดหนี้ค้างชำระต่อเจ้าหนี้จำนวน 298,447,673.28 บาท เท่านั้น คำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามมูลหนี้ลำดับที่ 56 และที่ 57 ตามสัญญาค้ำประกัน แยกเป็นค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระเป็นเงิน 315,439.25 มาร์กเยอรมัน และ 262,906.94 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินที่จ่ายตามสัญญาพร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 264,365,161.84 บาท มูลหนี้ดังกล่าวเป็นมูลหนี้ของบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ที่มีต่อเจ้าหนี้ โดยมีลูกหนี้เป็นผู้ออกหนังสือค้ำประกันการชำระหนี้ของบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ให้แก่เจ้าหนี้ ซึ่งลูกหนี้ได้จำกัดวงเงินค้ำประกันจำนวน 5,218,154 มาร์กเยอรมัน พร้อมดอกเบี้ยและหนี้อุปกรณ์อื่น ๆ เท่านั้น ตามสำเนาหนังสือค้ำประกันเอกสารแนบท้ายคำร้องหมายเลข 4 นอกจากนี้ตามบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของนางสาวมรกตพยานเจ้าหนี้ฉบับลงวันที่ 18 สิงหาคม 2543 ก็ได้ให้ถ้อยคำยืนยันสอดคล้องต้องกันกับหนังสือค้ำประกัน เจ้าหนี้คงมีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้รับผิดในต้นเงินจำนวน 5,218,154 มาร์กเยอรมัน (จำนวน 101,368,527.13 บาท) พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 1,818,111.44 บาท ขอศาลมีคำสั่งให้แก้ไขให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามมูลหนี้ลำดับที่ 56 และที่ 57 เป็นเงินจำนวนไม่เกินวงเงินค้ำประกันจำนวน 5,218,154 มาร์กเยอรมัน พร้อมดอกเบี้ยกับหนี้อุปกรณ์อื่น ๆ หรือเมื่อคำนวณเป็นเงินบาทแล้ว คงรับผิดไม่เกินจำนวน 103,186,638.57 บาท และหากเจ้าหนี้ได้ชำระหนี้ตามสัญญาไปเท่าใดก็ให้ได้รับชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาเท่านั้นโดยมีเงื่อนไขให้ได้รับเฉพาะในส่วนที่ยังไม่ได้รับชำระเงินคืนจากบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้ชั้นต้น คำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในส่วนค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามมูลหนี้ลำดับที่ 36 จำนวน 1,309,554.72 ดอลลาร์สหรัฐ มูลหนี้ลำดับที่ 38 จำนวน 2,273,147.92 ดอลลาร์สหรัฐ มูลหนี้ลำดับที่ 39 จำนวน 6,278,142.50 ดอลลาร์สหรัฐ มูลหนี้ลำดับที่ 40 จำนวน 1,813,587.89 ดอลลาร์สหรัฐ มูลหนี้ลำดับที่ 41 จำนวน 620,867.18 ดอลลาร์สหรัฐ มูลหนี้ลำดับที่ 42 จำนวน 6,437.68 ดอลลาร์สหรัฐ และมูลหนี้ลำดับที่ 44 จำนวน 447,222.22 ดอลลาร์สหรัฐ โดยพิจารณาว่า ลูกหนี้ได้ชำระค่าธรรมเนียมตามวิธีการที่เจ้าหนี้เรียกเก็บตลอดมาจนกระทั่งมีการผิดนัดไม่ชำระ จึงเป็นการยอมรับและปฏิบัติเป็นทางการปกติ เจ้าหนี้จึงมีสิทธิคิดค่าธรรมเนียมดังกล่าวได้นั้น ผู้ทำแผนเห็นว่ามูลหนี้ลำดับที่ 36 ที่ 38 ถึงที่ 40 เป็นมูลหนี้ตามคำขอของลูกหนี้ ให้เจ้าหนี้ออกหนังสือค้ำประกันการชำระหนี้ให้แก่ Lucky-Gold Star International Corp., Seoul, Korea โดยข้อ 5 แห่งคำขอดังกล่าวระบุว่า “ลูกหนี้ตกลงเป็นผู้ออกค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องจ่ายเนื่องในการออกหนังสือค้ำประกันแต่ผู้เดียว โดยจะจัดการให้เรียบร้อยภายในวันที่ธนาคารออกหนังสือค้ำประกัน หากลูกหนี้มิได้จัดการให้เป็นที่เรียบร้อยภายในระยะเวลาดังกล่าว ลูกหนี้ยินยอมให้เจ้าหนี้หักเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกหนี้ที่มีอยู่กับเจ้าหนี้ ดังนี้ ค่าอากรแสตมป์ ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ข้างต้นที่ลูกหนี้ยินยอมชำระจึงต้องเป็นจำนวนเงินสุทธิที่แน่นอน อันจะทำให้ลูกหนี้สามารถชำระให้แก่เจ้าหนี้ในคราวเดียว ณ วันที่เจ้าหนี้ได้ออกหนังสือค้ำประกัน ดังนั้น ลูกหนี้จึงไม่ต้องผูกพันตามระเบียบคำสั่งของเจ้าหนี้ที่ สอ.ล 30/2536 ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2536 ข้อ 1.3 และข้อ 1.4 ที่กำหนดให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมทุก 6 เดือน ตามที่เจ้าหนี้กล่าวอ้างในชั้นสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เพราะหากลูกหนี้ต้องผูกพันตามระเบียบแล้ว ลูกหนี้จะไม่มีทางชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวทั้งหมดภายในวันที่เจ้าหนี้ออกหนังสือค้ำประกันได้โดยสิ้นเชิง อันจะมีผลทำให้ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ซึ่งเจ้าหนี้ก็สามารถหักเงินจากบัญชีเงินฝากของลูกหนี้ได้ตลอดไปตั้งแต่วันดังกล่าว ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อลูกหนี้ นอกจากนี้ระเบียบคำสั่งดังกล่าวก็เป็นเรื่องภายในที่เจ้าหนี้กำหนดขึ้นแต่ผู้เดียวโดยที่ลูกหนี้ไม่มีโอกาสรับรู้และไม่ได้ตกลงด้วยแต่ประการใด การที่เจ้าหนี้ได้ตัดบัญชีเงินฝากของลูกหนี้เพื่อชำระค่าธรรมเนียมตามระเบียบดังกล่าวก็ดี หรือการที่ลูกหนี้ได้ชำระเงินค่าธรรมเนียมตามระเบียบดังกล่าวให้แก่เจ้าหนี้ก็ดี จึงเป็นการที่เจ้าหนี้กระทำไปโดยไม่มีสิทธิอันจะอ้างกฎหมายได้ หรือเป็นการที่ลูกหนี้ได้ชำระไปโดยสำคัญผิดแล้วแต่กรณี กรณีมิใช่เป็นการที่ลูกหนี้ยอมรับและปฏิบัติเป็นทางการปกติของเจ้าหนี้ดังที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้วินิจฉัยมีคำสั่งไว้แต่ประการใด กรณีไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามระเบียบคำสั่งดังกล่าวตามที่เจ้าหนี้นำสืบในชั้นสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ความว่า การคิดคำนวณเงินค่าธรรมเนียมทุก 6 เดือนนั้น ต้องคำนวณตามภาระค้ำประกันคงเหลือและระยะเวลาการค้ำประกันที่แท้จริงมาเป็นฐานในการคำนวณค่าธรรมเนียมที่จะต้องเรียกเก็บในงวดต่อ ๆ ไป ดังปรากฏตามคำเบิกความของนางสาวมรกตพยานเจ้าหนี้ว่าเจ้าหนี้ได้ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันให้แก่ Lucky-Gold Star International Corp., Seoul, Korea สำหรับมูลหนี้ลำดับที่ 36 ที่ 38 ถึงที่ 40 รวม 6 ครั้ง อันมีผลทำให้วงเงินภาระค้ำประกันของเจ้าหนี้ลดลงทุกครั้งที่ชำระไป แต่เจ้าหนี้กลับไม่ได้แสดงหลักฐานการคำนวณค่าธรรมเนียมค้ำประกันที่เรียกเก็บตามระเบียบคำสั่งดังกล่าว คงเพียงแต่กล่าวอ้างลอย ๆ ว่า ได้คำนวณภาระค้ำประกันที่เหลืออยู่จริงแล้ว ทั้ง ๆ ที่ลูกหนี้ได้นำสืบโต้แย้งว่าเป็นการคำนวณค่าธรรมเนียมเกินภาระและระยะเวลาค้ำประกันที่แท้จริง มูลหนี้ลำดับที่ 143 ตามภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2544 เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามมูลหนี้อันดับนี้จากลูกหนี้ครบถ้วนแล้ว คิดเป็นเงินไทยตามอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นเงิน 65,859,934.81 บาท ขอให้มีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ในอันดับนี้
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งแก้ไขคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้ลำดับที่ 5 ถึงที่ 23 ตามสัญญาทรัสต์รีซีท เป็นเงิน 7,290,061,887.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา ของต้นเงิน 5,501,704,587.41 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 37 ตามสัญญาค้ำประกัน โดยมีเงื่อนไขว่าเจ้าหนี้ได้ชำระหนี้ไปแทนลูกหนี้ตามภาระหนี้ค้ำประกันเพียงใดให้ได้รับชำระหนี้เพียงนั้น (ในวงเงิน 130,000,000 บาท) พร้อมด้วยดอกเบี้ย ค่าใช้จ่าย ความเสียหายใด ๆ และค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระเป็นเงิน 5,687,500 บาท มูลหนี้ลำดับที่ 47 ถึงที่ 53 ตามสัญญาทรัสต์รีซีท ของบริษัทไทย เอ บี เอส จำกัด เป็นเงิน 419,696,799.82 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 316,429,746.65 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 56 และที่ 57 ตามสัญญาค้ำประกัน เฉพาะต้นเงินจำนวน 5,218,154 มาร์กเยอรมัน (101,368,527.13) บาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 1,818,111.44 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ จนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ หากเจ้าหนี้ชำระหนี้ตามสัญญาไปเท่าใดก็ให้ได้รับชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาเท่านั้น โดยมีเงื่อนไขให้ได้รับชำระหนี้เฉพาะในส่วนที่ยังไม่ได้รับชำระหนี้คืนจากบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด ลูกหนี้ชั้นต้น มูลหนี้ลำดับที่ 58 และที่ 71 ตามสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้เป็นเงิน 12,239,176.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงินลำดับที่ 58 เป็นเงิน 2,004,790.02 บาท ของบริษัททีพีไอ โพลีออล จำกัด และต้นเงินลำดับที่ 71 เป็นเงิน 9,000,000 บาท ของบริษัทอุตสาหกรรมโพลียูรีเทนไทย จำกัด นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 72 หุ้นกู้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิของลูกหนี้เป็นเงิน 298,139,931.51 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามใบหุ้นของต้นเงิน 236,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 73 ตามสัญญาค้ำประกันเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชีของบริษัทอุตสาหกรรมโพลียูรีเทนไทย จำกัด เป็นเงิน 1,118,486.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 1,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 74 และที่ 75 หุ้นกู้มีประกันของบริษัทไทย เอ บี เอส จำกัด เป็นเงิน 456,879,461.65 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามข้อกำหนดในหุ้นกู้ ของต้นเงิน 334,100,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 76 และที่ 77 ตามสัญญาค้ำประกันหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของบริษัทไทย เอ บี เอส พลาสติก จำกัด (ปัจจุบัน บริษัททีพีไอ โพลีออล จำกัด) และตามสัญญาขายลดตั๋วเงินของบริษัทน้ำมันทีพีไอ จำกัด เป็นเงิน 53,784,043.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 27,718,857.85 บาท และจำนวน 20,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 78 ตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทอุตสาหกรรมโพลียูรีเทนไทย จำกัด เป็นเงิน 39,834,904.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 30,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 80 ค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระบริษัทน้ำมันทีพีไอ จำกัด ลูกหนี้ชั้นต้นเป็นเงิน 1,260 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นแล้วเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 81 ที่ 82 ที่ 84 ที่ 86 ถึงที่ 94 ตามภาระหนี้ค้ำประกันคงเหลือของบริษัทน้ำมันทีพีไอ จำกัด ลูกหนี้ชั้นต้น เป็นเงิน 291,000 บาท โดยให้ได้รับชำระหนี้เฉพาะที่ยังไม่ได้รับชำระจากลูกหนี้ชั้นต้น มูลหนี้ลำดับที่ 95 ถึงที่ 132 ตามสัญญาทรัสต์รีซีทของบริษัททีพีไอ โพลีออล จำกัด เป็นเงิน 298,447,673.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 221,353,468.40 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 133 ถึงที่ 138 ตามสัญญาค้ำประกันเป็นเงินที่จ่ายตามสัญญา เป็นเงิน 1,759,425,552.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 1,618,754,004.63 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ และค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระเป็นเงิน 37,102,386.22 เยน จำนวน 895,038.05 ดอลลาร์สหรัฐ และจำนวน 169,633.34 บาท โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น มูลหนี้ลำดับที่ 139 ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินของบริษัทโรงงานฝ้ายสระบุรี จำกัด เป็นเงินรวม 2,738,937,159.97 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 2,000,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 140 ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินของบริษัททีพีไอ อะโรเมติกส์ จำกัด (มหาชน) เป็นเงิน 1,847,904,625.54 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 1,400,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ มูลหนี้ลำดับที่ 141 ตามสัญญาขายตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัททีพีไอ อะโรเมติกส์ จำกัด (มหาชน) เป็นเงิน 678,719,178.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาของต้นเงิน 500,000,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการจนกว่าจะได้รับชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ชั้นต้นเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ลดลงเพียงนั้น และให้ยกคำขอรับชำระหนี้มูลหนี้ลำดับที่ 143 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
เจ้าหนี้อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ข้อแรกว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้ลำดับที่ 33 ถึงที่ 35 ตามคำขอรับชำระหนี้หรือไม่ ในการขอรับชำระหนี้ในลำดับที่ 33 ถึงที่ 35 นี้เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ลำดับดังกล่าวตามสัญญาค้ำประกันเลขที่ 07/34/50015 ฉบับลงวันที่ 7 ตุลาคม 2534 สัญญาค้ำประกันเลขที่ 07/31/50017 ฉบับลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2531 และสัญญาค้ำประกันเลขที่ 10/40/50110 ฉบับลงวันที่ 31 มกราคม 2540 ในมูลหนี้ภาระตามสัญญาค้ำประกัน คงเหลือ ณ วันที่ 15 มีนาคม 2543 จำนวน 6,725,625 มาร์กเยอรมัน จำนวน 7,427,300 มาร์กเยอรมัน และจำนวน 14,134,449 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระจำนวน 243,803.92 มาร์กเยอรมัน จำนวน 269,239.63 มาร์กเยอรมัน และจำนวน 734,400 มาร์กเยอรมัน กับจำนวน 35,336.12 ดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ ในการพิจารณาถึงสิทธิในการขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ในมูลหนี้ลำดับที่ 33 ถึงที่ 35 จึงต้องพิจารณาแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือในภาระค้ำประกันคงเหลือ อันเป็นหนี้ที่เจ้าหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันลูกหนี้จะต้องรับผิดต่อ KREDITANSTALT FUR WIEDERAUFBAU เจ้าหนี้รายที่ 190 ซึ่งเป็นการขอรับชำระหนี้ตามภาระค้ำประกันที่คงเหลือในจำนวนที่อาจใช้สิทธิไล่เบี้ยในภายหน้า เมื่อปรากฏว่าเจ้าหนี้รายที่ 190 ขอรับชำระหนี้ส่วนนี้ไว้เต็มจำนวนแล้ว เจ้าหนี้ย่อมไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้ส่วนนี้อีก ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/27 วรรคสอง ดังที่ศาลล้มละลายกลางวินิจฉัยแล้ว ในส่วนที่สองคือหนี้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระ เป็นหนี้ค่าตอบแทนแก่เจ้าหนี้ที่ลูกหนี้ตกลงจ่ายให้ในการขอให้เจ้าหนี้ออกหนังสือค้ำประกันหนี้ที่ลูกหนี้มีต่อ KREDITANSTALT FUR WIEDERAUFBAU เจ้าหนี้รายที่ 190 กรณีจึงเป็นการขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ที่ลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้โดยตรง เจ้าหนี้จะมีสิทธิขอรับชำระหนี้เพียงใด จะต้องพิจารณาตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/27 วรรคหนึ่ง ปรากฏตามคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการของเจ้าหนี้ในสำนวนสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าเจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ดังกล่าว ในมูลหนี้ลำดับที่ 33 ถึงที่ 35 ตามตารางรายละเอียดการคำนวณหนี้เอกสารท้ายคำขอรับชำระหนี้ด้วย แต่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าว โดยเห็นว่ามูลหนี้ตามสัญญาค้ำประกันดังกล่าวเจ้าหนี้ชั้นต้นได้ขอรับชำระหนี้เต็มจำนวนแล้ว เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิขอรับชำระหนี้อีก และศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งยืนตามโดยมิได้วินิจฉัยในปัญหาว่าเจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระตามที่เจ้าหนี้ได้ยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไว้หรือไม่ เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา แต่เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้สอบสวนข้อเท็จจริงมาเสร็จสิ้นกระแสความแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล้มละลายกลางพิจารณาและมีคำสั่งก่อน ซึ่งในปัญหาดังกล่าวเป็นภาระหนี้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระอันเป็นมูลหนี้โดยตรงที่เกิดขึ้นจากการที่ลูกหนี้ขอให้เจ้าหนี้ออกหนังสือค้ำประกันหนี้เงินกู้ที่ลูกหนี้ได้ขอกู้จาก KREDITANSTALT FUR WIEDERAUFBAU โดยปรากฏตามอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ที่มิได้มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคัดค้านว่า ตามคำขอให้ออกหนังสือค้ำประกันข้อ 2.2 ได้กำหนดว่า “บริษัทตกลงยินยอมจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกัน ในอัตราร้อยละ 1.75 ต่อปี ให้ธนาคาร (เจ้าหนี้) โดยให้คิดคำนวณตามระยะเวลาและจำนวนเงินที่ค้ำประกัน โดยเริ่มนับแต่วันที่ธนาคารลงนามการค้ำประกันในสัญญากู้เงินดังกล่าวข้างต้นเป็นต้นไป…” สอดคล้องกับระเบียบคำสั่งเรื่องค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของธนาคารเจ้าหนี้ที่ สอ.ล 30/2536 ซึ่งลูกหนี้ก็ได้ยอมรับและมีการปฏิบัติต่อกันโดยการชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันตามวิธีการของเจ้าหนี้ตลอดมา โดยมิได้มีการโต้แย้งคัดค้านแต่อย่างใด เช่นเดียวกับการปฏิบัติในการค้ำประกันตามมูลหนี้ลำดับที่ 36 ที่ 38 ถึงที่ 40 ดังนั้น ลูกหนี้จึงมีความผูกพันต้องชำระค่าธรรมเนียมค้างชำระแก่เจ้าหนี้ โดยปรากฏตามบัญชีรายละเอียดแห่งหนี้สินและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันเจ้าหนี้ท้ายคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้กับอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ว่า ลูกหนี้ค้างชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกันในมูลหนี้ลำดับที่ 33 จำนวน 243,803.92 มาร์กเยอรมัน มูลหนี้ลำดับที่ 34 จำนวน 269,239.63 มาร์กเยอรมัน มูลหนี้ลำดับที่ 35 จำนวน 734,400 มาร์กเยอรมัน และจำนวน 35,336.12 ดอลลาร์สหรัฐ เจ้าหนี้จึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระดังกล่าว อุทธรณ์ของเจ้าหนี้ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน…
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับมูลหนี้ลำดับที่ 33 ถึงที่ 35 ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ค่าธรรมเนียมค้ำประกันค้างชำระ โดยให้ได้รับชำระในมูลหนี้ลำดับที่ 33 จำนวน 234,803.92 มาร์กเยอรมัน มูลหนี้ลำดับที่ 34 จำนวน 269,239.63 มาร์กเยอรมันมูลหนี้ลำดับที่ 35 จำนวน 734,400 มาร์กเยอรมัน และจำนวน 35,336.12 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนมูลหนี้ลำดับที่ 56 และที่ 57 ให้ได้รับชำระหนี้จำนวน 103,186,638.57 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อผิดนัดที่เจ้าหนี้ประกาศใช้ของต้นเงิน 101,368,527.13 บาท นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้จนกว่าจะชำระเสร็จ โดยมีเงื่อนไขว่าหากเจ้าหนี้ได้รับชำระคืนจากบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด ลูกหนี้ชั้นต้นแล้วเพียงใด ให้สิทธิของเจ้าหนี้ลดลงมาเพียงนั้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลล้มละลายกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share