คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1867/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายพวกผู้เสียหาย โดยมีเจตนาทำร้ายพวกผู้เสียหายทุกคน ไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นใคร ลักษณะของเจตนาในการกระทำความผิดเป็นอันเดียว แม้จะมีการกระทำหลายหนและต่อหลายบุคคล ก็อยู่ภายในเจตนาอันนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91, 290, 295, 297 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290, 295, 297, 83, 90 ลงโทษตามมาตรา 290 วรรค 1 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 4 ปีโจทก์อุทธรณ์ขอให้เรียงกระทงลงโทษ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้มีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมหรือกรรมเดียว ซึ่งศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่า เมื่อวันที่17 กรกฎาคม 2526 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ผู้เสียหายกับพวกซึ่งรวมผู้ตายด้วยประมาณ 7 คน นั่งรับประทานอาหารอยู่โต๊ะหนึ่งจำเลยกับพวกประมาณ 6 คน นั่งรับประทานอาหารอีกโต๊ะหนึ่งในร้านอาหารเดียวกัน จำเลยกับพวกได้ร่วมกันทำร้ายร่างกายพวกผู้เสียหายโดยใช้ไม้และเก้าอี้ตีเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ผู้เสียหายบางคนได้รับอันตรายสาหัส บางคนได้รับอันตรายแก่กาย ทั้งนี้โดยจำเลยกับพวกไม่มีสาเหตุโกรธเคืองพวกผู้เสียหายมาก่อนเป็นพิเศษ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นลักษณะของการยกพวกไปตีทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่ชอบกันเจตนาของจำเลยกับพวกต้องการทำร้ายพวกผู้เสียหายทุกคน ไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นใคร ลักษณะของเจตนาในการกระทำความผิดเป็นอันเดียว แม้จะมีการกระทำหลายหนและต่อหลายบุคคลก็ตามก็อยู่ภายในเจตนาอันนั้น จึงถือว่าเป็นความผิดกรรมเดียว เมื่อปรากฏผลเป็นความผิดต่างฐานกัน ก็เป็นเรื่องของความผิดหลายบทซึ่งศาลต้องลงโทษด้วยบทหนักที่สุด ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดกรรมเดียวจึงชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share