แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ โจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือเช็คพิพาทจึงเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 904 และตามมาตรา 914 บุคคลซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตั๋วนั้นได้นำมายื่นโดยชอบแล้ว จะมีผู้ใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมจ่ายเงิน ผู้สั่งจ่ายก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง เมื่อโจทก์ในฐานะผู้ทรงได้นำเช็คพิพาทเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินและธนาคารปฏิเสธไม่ยอมจ่ายเงิน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้ใช้เงินแก่โจทก์ได้โดยไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทในฐานะอะไร ได้รับโอนจากใคร เมื่อใด และมีมูลหนี้อย่างไรไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม จำเลยให้การว่าโจทก์ได้เช็คพิพาทมาโดยไม่สุจริตเพราะยักยอกจากผู้มีชื่อ เป็นคำให้การที่ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว จำเลยมีสิทธิตามข้อต่อสู้ดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คฉบับหนึ่งซึ่งจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเมื่อโจทก์นำเช็คไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยได้มอบเช็คพิพาทแก่ผู้มีชื่อเพื่อเป็นประกันหนี้อันเกิดจากการพนันโดยมิได้ลงวันที่สั่งจ่ายต่อมาจำเลยกับผู้มีชื่อดังกล่าวได้หักทอนบัญชีกันแล้ว ซึ่งผู้มีชื่อยังมิได้คืนเช็คพิพาทให้แก่จำเลย เมื่อถูกฟ้องจึงทราบว่าเช็คพิพาทอยู่ที่โจทก์ จำเลยกับโจทก์ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์ได้เช็คพิพาทมาโดยเจตนาทุจริตยักยอกจากผู้มีชื่อ หรือได้เช็คพิพาทมาโดยไม่สุจริต แล้วปลอมลายมือชื่อจำเลยลงวันเดือนปีสั่งจ่ายในเช็ค โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ สั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายดังนี้ การที่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทในฐานะอะไร ได้รับโอนจากใคร เมื่อใด และมีมูลหนี้อย่างไร เป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่นั้น เห็นว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ โจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือเช็คพิพาทจึงเป็นผู้ทรงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 904 และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 914 บัญญัติไว้ความว่า บุคคลผู้สั่งจ่ายย่อมเป็นอันสัญญาว่าเมื่อตั๋วนั้นได้นำยื่นโดยชอบแล้ว จะมีผู้ใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋วถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมจ่ายเงิน ผู้สั่งจ่ายก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรงซึ่งบทบัญญัติมาตรา 914 ดังกล่าว นำมาบังคับในเรื่องเช็คด้วยเมื่อโจทก์ในฐานะผู้ทรงได้นำเช็คพิพาทเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน และธนาคารตามเช็คปฏิเสธไม่ยอมจ่ายเงิน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้ใช้เงินแก่โจทก์ได้โดยไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทในฐานะอะไร ได้รับโอนจากใคร เมื่อใด และมีมูลหนี้อย่างไร ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ข้อที่จำเลยให้การความว่า จำเลยมอบเช็คพิพาทให้ผู้มีชือไว้เพื่อเป็นประกันหนี้อันเกิดจากการพนัน ต่อมาจำเลยกับผู้มีชื่อดังกล่าวได้หักทอนบัญชีกันแล้วทั้งสองฝ่ายไม่มีหนี้สินต่อกัน ผู้มีชื่อต้องคืนเช็คพิพาทให้จำเลย แต่จำเลยยังไม่ได้รับคืนเมื่อถูกฟ้องคดีนี้จึงทราบว่าเช็คพิพาทอยู่ที่โจทก์ จำเลยกับโจทก์ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์ได้เช็คมาโดยเจตนาทุจริตยักยอกจากผู้มีชื่อหรือได้เช็คมาโดยไม่สุจริตแล้วปลอมลายมือชื่อจำเลยลงวันเดือนปีสั่งจ่ายในเช็คโจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คพิพาทนั้น เป็นคำให้การที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง หรือไม่ และการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานเป็นการชอบหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าข้อที่จำเลยให้การว่าโจทก์ได้เช็คพิพาทมาโดยไม่สุจริตเพราะยักยอกจากผู้มีชื่อ เป็นคำให้การที่ปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองแล้วจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ดังกล่าว การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานเป็นการไม่ชอบ
พิพากษายืน