คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7015/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์แล้วศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินต่อไปเพื่อให้ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดี โดยต้องดำเนินการตามบทบัญญัติในภาค 3 ลักษณะ 1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กล่าวคือ ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยอุทธรณ์ (คือฝ่ายโจทก์หรือจำเลยความเดิมซึ่งเป็นฝ่ายที่มิได้อุทธรณ์ความนั้น) คดีนี้ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจแล้วว่าจำเลยและ ศ. เป็นจำเลยอุทธรณ์ที่มีสิทธิยื่นคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้โจทก์ทำสำเนาอุทธรณ์มายื่นต่อศาลและให้นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยและ ศ. ได้
โจทก์มีหน้าที่นำส่งและเสียค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยและ ศ. ภายในกำหนดเวลาตามคำสั่งของศาลชั้นต้นโจทก์ทราบคำสั่งแล้วเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)ประกอบมาตรา 246

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนเลิกสัญญาเช่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1183 ให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 185,106 บาท แก่โจทก์ ยกฟ้องแย้งของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาพิพากษายืน

ในระหว่างการบังคับคดี โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกลูกหนี้ตามคำพิพากษา และนางศิริวรรณองอาจสกุลเดช ภริยา มาทำการไต่สวนเกี่ยวกับทรัพย์สินที่นางศิริวรรณมีกรรมสิทธิ์เพื่อบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ายังไม่มีเหตุเพียงพอ ไม่อนุญาต

โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า รับอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งสำเนาให้จำเลยและนางศิริวรรณ องอาจสกุลเดช แก้จะคัดค้านประการใดให้ยื่นภายใน 15 วัน ให้โจทก์นำส่งภายใน7 วัน ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดให้โจทก์ทำสำเนาอุทธรณ์ยื่นต่อศาลภายใน 3 วัน โดยอุทธรณ์ของโจทก์ฉบับดังกล่าวมีข้อความว่าข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้วและศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์นั้นเอง ต่อมาเจ้าหน้าที่รายงานว่าพ้นกำหนดระยะเวลาที่ศาลสั่งนานแล้ว โจทก์มิได้มาดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์และนำส่งหมายแต่อย่างใด โดยมิได้แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นจึงให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลอุทธรณ์ภาค 1

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่า เป็นกรณีที่โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์คำคัดค้านคำสั่งภายในเวลาตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด และโจทก์ทราบคำสั่งของศาลแล้ว ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246 ให้จำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีหน้าที่นำส่งและเสียค่าธรรมเนียมในการส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยและนางศิริวรรณ องอาจสกุลเดชภายในกำหนดเวลาตามคำสั่งของศาลชั้นต้น การที่โจทก์ทราบคำสั่งแล้วเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีต่อมาจนพ้นกำหนดเวลาตามคำสั่งของศาลโดยนับแต่วันที่โจทก์ทราบคำสั่งจนถึงวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนมาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นเวลานานถึง 15 วัน ถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246 สมควรจำหน่ายคดีของโจทก์ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีไม่มีข้อพิพาท การพิจารณาชี้ขาดคดีต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 170วรรคสอง และมาตรา 188 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้เดิมเป็นคดีมีข้อพิพาทซึ่งศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วและอยู่ในชั้นบังคับคดี ดังนั้น เมื่อมีการอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลในชั้นบังคับคดี จึงเป็นกรณีจะต้องตั้งต้นพิจารณาคดีชั้นอุทธรณ์ขึ้นใหม่ในระหว่างคู่ความโดยเมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์แล้วกระบวนพิจารณาถัดจากนั้นศาลชั้นต้นจะต้องดำเนินต่อไปเพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีทั้งนี้ศาลชั้นต้นต้องดำเนินการตามบทบัญญัติในภาค 3ลักษณะ 1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกล่าวคือ ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยอุทธรณ์ (คือฝ่ายโจทก์หรือจำเลยความเดิมซึ่งเป็นฝ่ายที่มิได้อุทธรณ์ความนั้น) ในกรณีของคดีนี้ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจแล้วว่า จำเลยและนางศิริวรรณองอาจสกุลเดช เป็นจำเลยอุทธรณ์ที่มีสิทธิยื่นคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้โจทก์ทำสำเนาอุทธรณ์มายื่นต่อศาลและให้นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยและนางศิริวรรณ องอาจสกุลเดช ภายใน 7 วัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1มีคำสั่งมานั้นจึงชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share