คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3975/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากผู้ขายและเข้าอยู่ในที่ดินพิพาทแล้วก็ตาม เมื่อปรากฏว่าผู้ขายไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท เป็นแต่เพียงผู้อาศัยสิทธิของโจทก์อยู่ในที่พิพาท จำเลยย่อมไม่ได้สิทธิครอบครองที่พิพาท เพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีไปกว่าผู้โอน จำเลยคงมีสิทธิเท่าที่ผู้ขายมีอยู่ จึงเท่ากับอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์เช่นกัน ดังนั้น จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทนานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครอง เว้นแต่จะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381
จำเลยเพิ่งโต้แย้งสิทธิโจทก์ซึ่งถือว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาท ซึ่งนับถึงวันฟ้องแล้วยังไม่เกิน 1 ปี โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเอาคืนที่ดินพิพาทจากจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดิน น.ส.๓ เลขที่ ๒๕๙/๓๕ ตำบลดงบังอำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย จากนายสิงห์ มะณีกรรณ์ เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ แล้วให้นายสิงห์กับนางเสี้ยน ศรีทอง ภรรยานายสิงห์และบริวารอาศัยอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวตลอดมา ต่อมาจำเลยและบริวารได้ปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินของโจทก์โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยรื้อบ้านออกจากที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ต่อไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ได้ซื้อที่ดินตามฟ้องจากนายสิงห์แต่ได้ยืมที่ดินของนายสิงห์ไปประกันเงินกู้ของโจทก์ โดยโจทก์กับนายสิงห์ทำเป็นสัญญาซื้อขายกัน การซื้อขายระหว่างโจทก์กับนายสิงห์จึงเป็นนิติกรรมอำพรางจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้อง โดยซื้อมาจากนายสิงห์เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๗ ในราคา๑๐,๐๐๐ บาท แต่ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ๎ นายสิงห์ก็ถึงแก่กรรมเสียก่อน จำเลยครอบครองที่ดินดังกล่าวด้วยความสงบ เปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของ ไม่มีผู้ใดรบกวนติดต่อมาเป็นเวลาเกิน ๑๐ ปีแล้ว จึงได้สิทธิครอบครองและกรรมสิทธิ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทต่อไป
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จะฟังได้ว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทจากนายสิงห์ นางเสี้ยนก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่านายสิงห์ นางเสี้ยน มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เป็นแต่เพียงผู้อาศัยสิทธิของโจทก์อยู่ในที่ดินพิพาท นายสิงห์ นางเสี้ยนจึงไม่มีสิทธินำที่ดินพิพาทไปขายให้จำเลยแต่ประการใด ฉะนั้นถึงแม้ได้ความว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทมาจากนายสิงห์นางเสี้ยน และเข้าอยู่ในที่ดินพิพาทแล้วก็ตาม แต่จำเลยก็มิได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท เพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีไปกว่าผู้โอน จำเลยคงมีสิทธิเท่าที่นายสิงห์ นางเสี้ยน มีอยู่ กล่าวคือเท่ากับจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของโจทก์เท่านั้น ฉะนั้นจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์นานเท่าใดก็ไม่ได้สิทธิครอบครองเว้นแต่จำเลยจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ โดยบอกกล่าวไปยังโจทก์ผู้ครอบครองที่ดินพิพาทว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่ดินพิพาทแทนโจทก์ แต่จะยึดถือเพื่อตนต่อไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๑ และตามข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบรับฟังได้ว่า จำเลยเพิ่งโต้แย้งสิทธิโจทก์ ซึ่งถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือที่ดินพิพาทเพื่อตน ไม่ยึดถือไว้แทนโจทก์ต่อไป เมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๒๘ ที่บ้านนายสีกำนันตำบลดงบัง โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ ๘สิงหาคม ๒๕๒๘ จึงยังไม่เกิน ๑ ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง โจทก์มีสิทธิฟ้องเอาคืนที่ดินพิพาทจากจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา๑๓๗๕ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share