คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 277/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาสวัด ส. และเป็นประธานกิตติมศักดิ์ของคณะกรรมการมูลนิธิ ห. กับเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิดังกล่าว เมื่อมูลนิธิมีวัตถุประสงค์เผยแผ่พระพุทธศาสนาและรับเด็กยากจนมาอาศัยอยู่ที่วัด ส. เพื่อส่งเสียให้ได้รับการศึกษา การอบรมให้เด็กเหล่านั้นประพฤติอยู่ในศีลธรรมอันดีตามหลักพุทธศาสนาและตั้งใจศึกษาเล่าเรียนย่อมอยู่ในวัตถุประสงค์ของมูลนิธิด้วย แม้การเงินของมูลนิธิแยกออกจากวัดเพราะมีฐานะป็นนิติบุคคลแตกต่างกัน แต่จำเลยที่ 1 ในฐานะประธานกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิย่อมต้องอบรมสั่งสอนผู้เสียหายทั้งแปดซึ่งอยู่ในความดูแลของตนให้ปฏิบัติดีเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นั้นมิให้เงินที่ผู้บริจาคเพื่อการศึกษาของเด็กยากจนสิ้นเปลืองเปล่า เมื่อมูลนิธิมาก่อตั้งภายในอาณาเขตวัด ส. เด็กๆ รวมทั้งผู้เสียหายทั้งแปดย่อมต้องเชื่อฟังจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าอาวาสวัด ส. ดังเช่นที่เป็นศิษย์วัดอีกสถานหนึ่ง กล่าวได้ว่า จำเลยที่ 1 ดูแลผู้เสียหายทั้งแปดในฐานะเป็นครูอาจารย์ดูแลนักเรียนในปกครองกับฐานะเจ้าอาวาสดูแลศิษย์ไปพร้อมๆ กัน ดังนั้นผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 8 จึงเป็นศิษย์ซึ่งอยู่ในความปกครองดูแลของจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งแปดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 277, 279, 281, 282, 285, 91, 86, 83, 80
จำเลยทั้งแปดให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ต. อ. ผ. และส. บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เสียหายที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ตามลำดับ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต โดยให้เรียกว่า โจทก์ร่วมที่ 1 ถึงที่ 4 ตามลำดับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก, 277 วรรคสอง (ที่ถูก ประกอบมาตรา 83 ด้วย), 277 วรรคสอง ประกอบมาตรา 80, 279 วรรคสอง, 285 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83, 282 วรรคสอง (ที่ถูก ประกอบมาตรา 83 ด้วย) 282 วรรคสาม จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83, 282 วรรคแรก, 282 วรรคสอง (ที่ถูก ประกอบมาตรา 83 ด้วย), 282 วรรคสามจำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสาม จำเลยที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสอง จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคแรก, 282 วรรคสอง จำเลยที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 282 วรรคสาม จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล จำคุกกระทงละ 8 ปี รวม 7 กระทง เป็นจำคุก 56 ปี ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล จำคุกกระทงละ 12 ปี รวม 7 กระทง เป็นจำคุก 84 ปี ฐานพยายามกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแลจำคุก 8 ปี ฐานกระทำอนาจารเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล โดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี รวมจำคุก 160 ปี แต่ให้จำคุกจำเลยที่ 1 เพียง 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 (3) ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 8 ปี ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุยังไม่เกิน 18 ปี จำคุก 3 ปี ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 4 กระทงเป็นจำคุก 20 ปี รวมจำคุก 31 ปี ลงโทษจำเลยที่ 3 ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี จำคุก 7 ปี ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิง จำคุกระทงละ 1 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 2 ปี ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุยังไม่เกิน 18 ปี จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 9 ปี ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 2 กระทงเป็นจำคุก 10 ปี รวมจำคุก 28 ปี ลงโทษจำเลยที่ 4 ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 10 ปี ลงโทษจำเลยที่ 5 ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุยังไม่เกิน 18 ปี จำคุก 3 ปี ลงโทษจำเลยที่ 6 ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิง จำคุก 1 ปี ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงอายุยังไม่เกิน 18 ปี จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 4 ปี ลงโทษจำเลยที่ 7 ฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 10 ปี ข้อหาอื่นให้ยก สำหรับจำเลยที่ 8 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา โดยศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 เฉพาะความผิดฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสามปี
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว สำหรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานกระทำอนาจารเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแลโดยใช้กำลังประทุษร้ายนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 แต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า พยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดข้อหาดังกล่าวเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล ฐานพยายามกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล และจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาหรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 8 เป็นพยานเบิกความสอดคล้องต่อเนื่องเชื่อมโยงยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ได้ผลัดเปลี่ยนกันพาผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 8 ไปกุฏิจำเลยที่ 1 อ้างว่าให้พวกผู้เสียหายไปทำความสะอาดในกุฏิจำเลยที่ 1 โดยเข้าทางประตูห้องน้ำซึ่งประตูเปิดทะลุไปห้องโถงและห้องนอนในกุฏิจำเลยที่ 1 ได้ แล้วผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 8 ถูกจำเลยที่ 1 กระทำชำเราหลายครั้งในกุฏิจำเลยที่ 1 โดยเฉพาะผู้เสียหายที่ 2 เบิกความยืนยันว่า ขณะที่ถูกจำเลยที่ 1 กระทำชำเรา จำเลยที่ 3 ช่วยจำเลยที่ 1 ถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายที่ 2 และช่วยจับขาผู้เสียหายที่ 2 แยกออกให้อยู่นิ่งๆ ให้จำเลยที่ 1 กระทำชำเราผู้เสียหายที่ 2 และโจทก์กับโจทก์ร่วมมี ห. เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ถูกจำเลยที่ 2 และที่ 3 หลอกให้ไปทำความสะอาดที่กุฏิจำเลยที่ 1 โดยพาเข้าทางประตูห้องน้ำซึ่งสามารถผ่านไปห้องนอนจำเลยที่ 1 ได้ แล้วจำเลยที่ 1 ใช้ให้นวดขา แต่ขณะจำเลยที่ 1 ขอตัวไปอาบน้ำ พยานได้วิ่งหนีออกจากห้องนอนจำเลยที่ 1 มาได้ เห็นว่า พยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวเป็นเด็กหญิงชาวเขาซึ่งมีฐานะทางบ้านยากจนได้รับการช่วยเหลือจากมูลนิธิของจำเลยที่ 1 อุปการะและส่งเสียให้ได้เล่าเรียนย่อมสำนึกบุญคุณของจำเลยที่ 1 และไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 มาก่อน ไม่มีเหตุน่าระแวงว่าจะเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธามากกับจำเลยที่ 3 ด้วยข้อหาที่กระทบต่อความรู้สึกของชาวพุทธอย่างรุนแรงเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้เสียหายทั้งแปดเป็นเด็กหญิงหากเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริงผู้เสียหายทั้งแปดคงไม่กล้ายืนยันเรื่องดังกล่าว ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอับอายและเสียหายต่อชื่อเสียงอันเป็นผลร้ายแก่ผู้เสียหายดังกล่าวเองทั้งผู้เสียหายทั้งแปดและ ห. ก็เบิกความไปตามลำดับขั้นตอนสมเหตุสมผลเชื่อว่าเบิกความไปตามความจริง แม้จะได้ความว่าพวกผู้เสียหายปกปิดไม่ยอมเล่าเรื่องให้ใครฟังในตอนแรกหลังเกิดเหตุ พวกผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าเหตุที่ไม่ได้บอกใคร เพราะอับอายและกลัวบิดามารดาจะเสียใจก็มีเหตุผล เพราะเรื่องที่พวกผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 กับพวกกระทำเป็นเรื่องบัดสีน่าอับอาย ผิดทั้งศีลธรรมตามหลักพระพุทธศาสนาและผิดจารีตของชาวเขาที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนสมรส ทั้งได้ความว่า จำเลยที่ 1 กับพวกหลอกพวกผู้เสียหายว่า เป็นการเสริมบารมี ให้จำเลยที่ 1 ถือเสียว่าจำเลยที่ 1 เป็นเทวดา มีบุญที่ได้หลับนอนกับเทวดา และบางครั้งพวกผู้เสียหายก็ถูกนำตัวไปทำพิธีให้ดื่มน้ำสาบานว่าจะไม่บอกใคร หากผิดคำสาบานตนและครอบครัวจะประสบภัยพิบัติด้วยความอ่อนอายุของพวกผู้เสียหายย่อมหวาดกลัวและเชื่อคำสาบานนั้น จึงไม่ใช่ข้อพิรุธที่จะทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวเสียไป ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เป็นพระสงฆ์ที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธามาก มีคนมาทำบุญที่วัดแต่ละวันเป็นพันคน โดยปักกลดและเดินจงกรมในบริเวณวัดด้วย มีพระภิกษ์วัดสามพรานและที่มาจากวัดอื่นอยู่ที่วัดนับร้อยรูป ที่พักของผู้เสียหายอยู่ห่างจากกุฏิจำเลยที่ 1 มีอาคารและสิ่งปลูกสร้างคั่นอยู่เป็นระยะ กุฏิจำเลยที่ 1 อยู่ติดกับกุฏิอื่นมีรั้วกั้นและป้ายเขียนว่า เขตสงฆ์ห้ามเข้า ต้องเข้าเขตสงฆ์ก่อนจึงจะเข้ากุฏิจำเลยที่ 1 ได้ หากมีผู้ร้องขอความช่วยเหลือจากกุฏิจำเลยที่ 1 แล้ว ผู้เดินจงกรมผ่านทางเข้าเขตสงฆ์ต้องได้ยินนั้น เห็นว่า ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 8 ว่า จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ได้ผลัดเปลี่ยนกันพาพวกผู้เสียหายไปกุฏิจำเลยที่ 1 โดยเข้าทางประตูห้องน้ำมีประตูเปิดทะลุไปห้องโถงและไปกุฏิจำเลยที่ 1 ได้ เมื่อพิจารณาประกอบแผนที่สังเขปแสดงที่เกิดเหตุแล้ว มีรายละเอียดว่า รอบเขตสงฆ์ด้านหน้าทิศตะวันตกและด้านข้างทิศเหนือของแผนที่มีคูน้ำกับรั้วเหล็กกั้นเขตสงฆ์กับเขตที่มีผู้มาทำบุญให้แยกจากกัน สามารถเข้าเขตสงฆ์ได้โดยผ่านสะพานเล็กๆ ข้ามคูน้ำทางด้านหน้า กุฏิจำเลยที่ 1 อยู่ห่างจากกุฏิอื่นๆ โดยด้านทิศใต้ของกุฏิอยู่ติดกับตึกมูลนิธิซึ่งชั้นบนกั้นเปิดห้องให้พวกผู้เสียหายพักอยู่ ชั้นล่างเป็นสำนักงานมูลนิธิกับมีห้องส้วม 10 ห้อง เรียงเป็นแถวเดียวกันอยู่ติดกับห้องน้ำของกุฏิจำเลยที่ 1ลักษณะตั้งฉากเป็นอักษรภาษาอังกฤษตัวแอล โดยผนังห้องน้ำของกุฏิด้านนอกมีร่องรอยก่อสร้างใหม่ฉาบด้วยทรายล้างจนเต็มผนัง พวกผู้เสียหายเบิกความว่าเดิมผนังห้องน้ำกุฏิด้านนี้มีประตูอยู่จึงเดินจากตึกมูลนิธิเข้าห้องน้ำในกุฏิผ่านส่วนที่เป็นห้องส้วม แล้วเปิดประตูห้องส้วมเข้าสู่ห้องโถงในกุฏิเดินต่อไปยังห้องนอนจำเลยที่ 1 ได้แต่ขณะนำชี้ที่เกิดเหตุมีการก่ออิฐปิดประตูห้องน้ำซึ่งเปิดออกนอกกุฏิได้ โดยผนังในห้องน้ำบุด้วยกระเบื้องเซรามิก ผนังด้านนอกที่ก่ออิฐปิดประตูขึ้นใหม่ฉาบด้วยทรายล้างตลอดแนวผนัง แสดงว่ามีการเดินจากตึกมูลนิธิเชื่อมกับกุฏิจำเลยที่ 1 โดยเข้ากุฏิผ่านทางประตูห้องน้ำซึ่งเปิดออกกุฏิได้ เข้าสู่กุฏิผ่านห้องโถงเชื่อมห้องนอนจำเลยที่ 1 และห้องเก็บเทป หน้าห้องเก็บเทปมีร่องรอยติดตั้งบันไดเหล็กชนิดที่เรียกว่าบันไดลิงไว้ที่พื้นกุฏิชั้นล่าง ใช้ใต่ทะลุขึ้นพื้นชั้นสองโดยเจาะเป็นช่องเหลี่ยมขนาดพอที่คนจะใช้เป็นทางขึ้นลงได้ ซึ่งมีฝาไม้ปิดช่องนี้ไว้จึงสามารถเดินจากภายในกุฏิชั้นล่างเข้าสู่ห้องนอนที่ชั้นสอง โดยไม่จำต้องออกจากกุฏิแล้วขึ้นบันไดหน้ากุฏิเพื่อขึ้นสู่ชั้นสอง ช่องขึ้นบันไดเหล็กมีลักษณะเป็นช่องลับ หากใช้วัสดุอื่นปิดทับฝาไม้ซึ่งปิดช่องไว้ บุคคลภายนอกซึ่งขึ้นมายังกุฏิชั้นสองไม่อาจทราบได้เลยว่ามีช่องลับอยู่เว้นแต่จะเข้ามาที่กุฏิชั้นล่างแล้วเห็นบันไดทอดขึ้นสู่พื้นชั้นสองเท่านั้น จึงจะทราบว่ามีช่องลับนี้ ดังนั้น บุคคลภายนอกที่มาปฏิบัติธรรมที่วัดหรือเดินจงกรมตามทางเดินผ่านหน้าเขตสงฆ์ย่อมไม่อาจเห็นได้เลยว่าจำเลยที่ 1 ลงจากกุฏิชั้นบนมาชั้นล่างเมื่อใดและไม่อาจเห็นขณะพวกผู้เสียหายเข้ากุฏิทางประตูห้องน้ำซึ่งมีอยู่เดิม เพราะมีกลุ่มต้นไม้ใหญ่และส่วนที่ก่อสร้างเป็นถ้ำสัญฐานโค้งบังกุฏิด้านทิศตะวันตกอยู่ แนวต้นไม้ปรากฏตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุด้วย ส่วนแผนที่แสดงรายละเอียดของเขตสงฆ์ มีคูน้ำยาวขนานไปกับกุฏิจำเลยที่ 1 ถัดจากคูน้ำมีรั้วเหล็กขนาดคูน้ำ แล้วจึงมีแนวต้นไม้บังสายตาบุคคลภายนอกไว้ ทางเข้ากุฏิชั้นล่างมีประตูอยู่ด้านกำแพงวัดทางทิศตะวันออกค่อนมาท้ายกุฏิ ผู้ที่จะเข้ากุฏิต้องเดินข้ามสะพานสู่เขตสงฆ์อ้อมหน้ากุฏิมาข้างๆ กำแพงวัดค่อนมาท้ายกุฏิจึงจะถึงประตูกุฎิชั้นล่างซึ่งดูเป็นการลี้ลับเกินควร ต่างจากการทำประตูเข้าชั้นล่างไว้ที่ด้านหน้าเช่นกุฏิทั่วๆ ไป เสมือนเป็นการเตรียมลู่ทางที่จำเลยที่ 1 จะล่วงละเมิดทางเพศกับเด็กหญิงซึ่งพักอยู่ที่ตึกมูลนิธิไว้ล่วงหน้า ทั้งยังให้เด็กนักเรียนหญิงพักอยู่ใกล้ๆ กุฏิตนแทนที่จะเป็นเด็กนักเรียนชาย ผิดวิสัยของจำเลยที่ 1 ซึ่งแสดงตนว่ามีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดจะพึงกระทำเพื่อป้องกันข้อครหา เมื่อพระสุรัตน์สอบถามผู้เสียหายที่ 5 ถึงที่ 8 ถึงสาเหตุที่ไม่อยากกลับไปอยู่ที่วัดสามพรานอีก ก็ได้ความว่าพวกผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 ล่วงละเมิดทางเพศ โดยทราบว่ากุฏิจำเลยที่ 1 อยู่ในเขตสงฆ์ สตรีห้ามเข้า จึงให้พวกผู้เสียหายดังกล่าวเขียนแผนผังกุฏิตามที่ได้พบเห็นมา ผู้เสียหายดังกล่าวก็เขียนแผนผังกุฏิชั้นล่างของจำเลยที่ 1 ระบุสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญ ได้แก่ ประตูห้องน้ำซึ่งสามารถเดินจากภายนอกเข้ากุฏิได้ ห้องส้วมซึ่งอยู่ด้านในทะลุไปยังห้องโถง ห้องนอนของจำเลยที่ 1 ห้องเก็บเทปและหน้าห้องที่ติดตั้งบันไดเหล็กได้อย่างถูกต้องตรงกันหากผู้เสียหายดังกล่าวไม่เคยเข้าไปกุฏิจำเลยที่ 1 ก็ยากที่ผู้อื่นจะเสี้ยมสอนให้วาดแผนผังกุฏิที่เกิดเหตุให้ตรงกับความเป็นจริงขึ้นได้ และได้ความจากนายณัฐชัยหัวหน้ากลุ่มงานวิเคราะห์วัสดุก่อสร้าง กองวิเคราะห์และวิจัย กรมโยธาธิการเบิกความประกอบรายงานผลการตรวจสอบวิเคราะห์ปูนจากการก่อสร้างว่า พบการรื้อถอนและก่อสร้างกุฏิบางส่วนขึ้นใหม่ ดังนี้ จุดซึ่งพวกผู้เสียหายนำชี้ว่าติดตั้งก๊อกน้ำฝักบัวในการชำระล้างหลังจากถูกจำเลยที่ 1 ชำเราแล้ว แต่ไม่ปรากฏก๊อกน้ำฝักบัว พบรอยวางท่อน้ำร้อนเย็นของเครื่องทำน้ำอุ่นมีฝาครอบและฝาอุดปิดอยู่ และมีรอยติดตั้งที่แขวนฝักบัว พบรอยวางท่อน้ำร้อนเย็นของเครื่องทำน้ำอุ่นมีฝาครอบและฝาอุดปิดอยู่ และมีรอยติดตั้งที่แขวนฝักบัว จึงสรุปว่า เคยมีก๊อกน้ำอยู่จุดนี้จริง พื้นกุฏิชั้นสองซึ่งเจาะเป็นช่องบันไดเหล็กสำหรับลงจากชั้นสองที่จำเลยที่ 1 ใช้เป็นที่นอนลงสู่ชั้นล่างมีฝาประตูไม้ล๊อกกุญแจได้ซ่อนอยู่ใต้พรม มีรางเหล็กโค้ง 2 อัน ลักษณะเป็นหัวราวจับบันไดติดตั้งอยู่ ราวและบันไดถูกถอดออก มีร่องรอยเคยติดตั้งกับพื้นชั้นล่างฝ้าเพดานชั้นล่างใช้ไม้อัดปิดทับช่องขึ้นลงนั้น จึงยืนยันได้ว่ามีช่องบันไดเหล็กซึ่งคนขึ้นลงได้ติดตั้งอยู่จริง หลักฐานส่วนนี้จึงสอดคล้องกับคำเบิกความของพวกผู้เสียหายที่ว่า จำเลยที่ 1 สามารถลงจากห้องนอนของตนชั้นบนมาที่ชั้นล่างซึ่งเป็นส่วนควบคุมการบันทึกเทปได้ โดยบุคคลภายนอกไม่อาจล่วงรู้ได้ แต่จำเลยที่ 1 เคยให้การในชั้นสอบสวนว่า ไม่เคยมีช่องลับในกุฏิจำเลยที่ 1 ซึ่งในชั้นพิจารณากลับนำสืบว่าจำเลยที่ 1 ใช้ช่องลับนี้ลงจากชั้นบนมาชั้นล่างเพื่อบันทึกเทป ครั้นย้ายไปสร้างห้องบันทึกเทปที่โรงเจไม่ได้ใช้ห้องนี้อีกจึงถอดบันไดเหล็กออก แต่ยังมีร่องรอยให้เห็นอยู่บ้าง คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ขัดกับสภาพช่องลับที่มีอยู่ขณะตรวจเกิดเหตุ จึงรับฟังไม่ได้ การไม่ทำบันไดขึ้นลงภายในกุฏิเช่าอาคารทั่วไปทั้งๆ ที่จำเลยที่ 1 มีภารกิจต้องบันทึกเทปเทศนาทางวิทยุอยู่ตลอด ซึ่งต้องใช้ห้องบันทึกเทปและเก็บเทปนั้นเสมอ จึงเป็นเรื่องผิดปกติมากขึ้นไปอีก หากจะอ้างว่าใช้ช่องลับนี้เป็นทางหนีภัย ก็ขัดต่อเหตุผลเพราะจำเลยที่ 1 อาจใช้ศิษย์ซึ่งเป็นชายหรือพระสงฆ์อื่นนอนหน้าห้องตนที่ชั้นสองของกุฎิคอยระวังเหตุร้ายให้ แต่จำเลยที่ 1 กลับนอนที่ชั้นสองตามลำพัง ซึ่งเป็นการง่ายที่คนร้ายจะใช้บันไดหน้าอาคารขึ้นสู่ชั้นสองโดยผู้ที่อยู่ชั้นล่างไม่มีโอกาสล่วงรู้ เสมือนเป็นการเตรียมและใช้ช่องลับโดยใช้พรมปิดทับไม่ให้ผู้ที่อยู่บนกุฏิชั้นสองมองเห็น ทำให้การใช้ช่องลับจากกุฏิชั้นสองลงมายังชั้นล่างเพื่อล่วงละเมิดทางเพศต่อพวกผู้เสียหายทำได้สะดวก และจากการตรวจสถานที่เกิดเหตุไม่มีประตูห้องน้ำเปิดออกนอกกุฏิพบแต่ผนังกระเบื้องห้องน้ำด้านในบุใหม่มีขนาดเท่าช่องประตูเห็นได้ชัด เพราะสีกระเบื้องที่บุใหม่แตกต่างจากสีกระเบื้องเดิม ช่องประตูห้องน้ำด้านนอกก่ออิฐฉาบผิวใหม่ด้วยทรายล้าง จากร่องรอยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีการปรับปรุงกุฏิส่วนนี้ใหม่ เสมือนเป็นการแก้ไขสถานที่เกิดเหตุให้แตกต่างไปจากที่พวกผู้เสียหายเคยพบเห็นขณะที่มีการล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นในกุฏินั้น ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฏีกาว่า จำเลยที่ 1 บรรพชาเป็นสามเณรแต่เด็กแล้วอุปสมบทเป็นพระภิกขุต่อ การร่วมประเวณีย่อมทำให้เส้นเนื้อเยื่อซึ่งรั้งหัวองคชาตให้ติดกับหนังหุ้มปลายองคชาตขาดออก แต่ผลการตรวจร่างกายของจำเลยที่ 1 มีอวัยวะเพศปกติ แสดงว่าเส้นเนื้อเยื่อดังกล่าวไม่ได้ขาด และหากพวกผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กสาวบริสุทธิ์ถูกจำเลยที่ 1 กระทำชำเราจริง ย่อมทำให้เยื่อพรหมจารีฉีกขาดต้องมีเลือดไหลออกจากช่องคลอดด้วย ปรากฏว่าพวกผู้เสียหายไม่มีเลือดออกมา แสดงว่าจำเลยที่ 1 มิได้กระทำชำเราพวกผู้เสียหายนั้น เห็นว่า การที่ระบุว่าอวัยวะเพศปกติมิได้หมายถึงว่า เส้นเนื้อเยื่อดังกล่าวยังมีอยู่และข้อเท็จจริงเป็นที่รู้กันทั่วไปว่า การร่วมเพศไม่ทำให้เส้นเนื้อเยื่อดังกล่าวของชายต้องขาดออกเสมอไป และได้ความจากผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และที่ 8 เบิกความว่า หลังจากถูกจำเลยที่ 1 ชำเราแล้วก็มีเลือดไหลออกมาจากอวัยวะเพศ และผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ยังได้ให้การในชั้นสอบสวนว่าถูกจำเลยที่ 1 ชำเราจนมีเลือดไหลออกจากบริเวณอวัยวะเพศด้วย ส่วนผู้เสียหายคนอื่นๆ ที่มิได้เบิกความถึงอาจเป็นเพราะเยื่อพรหมจารีอาจฉีกขาดมาด้วยสาเหตุอื่นมาก่อนที่จะถูกชำเราก็ได้ จึงไม่มีเลือดออกขณะถูกจำเลยที่ 1 ชำเราครั้งแรก จึงไม่ใช่ข้อพิรุธของพยานโจทก์และโจทก์ร่วม ที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกาว่า ผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 8 ไม่ใช่ศิษย์ซึ่งอยู่ในความปกครองดูแลของจำเลยที่ 1 แต่อยู่ในความดูแลของมูลนิธิหลวงพ่อพุทโธภาวนา ซึ่งมีคณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินการแยกจากกันคนละส่วนกับวัดสามพรานที่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาสนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาสวัดสามพราน และเป็นประธานกิตติมศักด์ของคณะกรรมการมูลนิธิหลวงพ่อพุธโธภาวนา กับเป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิในปี 2526 เมื่อมูลนิธิมีวัตถุประสงค์เผยแผ่พระพุทธศาสนาและรับเด็กยากจนมาอาศัยอยู่ที่วัดสามพรานเพื่อส่งเสียให้ได้รับการศึกษา การอบรมให้เด็กเหล่านั้นประพฤติอยู่ในศีลธรรมอันดีตามหลักพุทธศาสนาและตั้งใจศึกษาเล่าเรียนย่อมอยู่ในวัตถุที่ประสงค์ของมูลนิธิด้วย แม้การเงินของมูลนิธิแยกออกจากวัดเพราะมีฐานะเป็นนิติบุคคลแตกต่างกัน แต่จำเลยที่ 1 ในฐานะประธานกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิย่อมต้องอบรมสั่งสอนผู้เสียหายทั้งแปดซึ่งอยู่ในความดูแลของตนให้ปฏิบัติดีเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์นั้น มิให้เงินที่ผู้บริจาคเพื่อการศึกษาของเด็กยากจนสิ้นเปลืองเปล่า เมื่อมูลนิธิมาก่อตั้งภายในอาณาเขตวัดสามพรานเด็กๆ รวมทั้งผู้เสียหายทั้งแปดย่อมต้องเชื่อฟังจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าอาวาสวัดสามพรานดังเช่นที่เป็นศิษย์วัดอีกสถานหนึ่ง กล่าวได้ว่า จำเลยที่ 1 ดูแลผู้เสียหายทั้งแปดในฐานะเป็นครูอาจารย์ดูแลนักเรียนในปกครองกับฐานะเจ้าอาวาสดูแลศิษย์ไปพร้อมๆ กัน ผู้เสียหายที่ 3 ที่ 4 ที่ 7 และที่ 8 ก็เบิกความยืนยันสนับสนุนว่าเมื่อเข้ามาอยู่ที่วัดสามพรานได้ไปกราบจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 บอกว่าให้ตั้งใจเรียนอย่าดื้อแล้วจะส่งไปเรียนที่โรงเรียนสามพรานวิทยาโดยจะออกค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้สอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นผู้ดูแลเด็กหญิงชาวเขาซึ่งมาอยู่ที่วัดประมาณ 20 คน ไว้จริง ฟังได้ว่าผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 8 เป็นศิษย์อยู่ในความปกครองดูแลของจำเลยที่ 1 คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกา ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้จะนำมาปรับใช้ในคดีนี้หาได้ไม่ สำหรับฎีกาข้ออื่นจำเลยที่ 1 และที่ 3 นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นมิใช่ข้อสาระสำคัญ และไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีน้ำหนักให้รับฟัง พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล ฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปีซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล ฐานพยายามกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นศิษย์อยู่ในความดูแล และจำเลยที่ 3 กระทำความผิดฐานร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกิน 13 ปี ตามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share