คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1249/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ในฐานะผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิที่จะยึดถือครอบครองและใช้ประโยชน์ในรถยนต์คันพิพาท ตลอดจนมีหน้าที่ดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและใช้การได้ดี เมื่อรถยนต์เกิดความเสียหายขึ้นไม่ว่าในกรณีใดๆโจทก์ต้องรับผิดชดใช้เงินค่าเช่าซื้อที่ยังค้างชำระจนครบเมื่อได้ใช้เงินให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว รถยนต์ก็ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ทั้งโจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยโดยตรง โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า ‘การชน ย. บริษัทจะใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างระยะเวลาประกันภัยต่อรถยนต์รวมทั้งอุปกรณ์ติดประจำเนื่องจาก ย.การชนหรือคว่ำหรือไฟไหม้อันเกิดจากการชนหรือคว่ำ’ ย่อมคุ้มครองถึงอุบัติเหตุที่เกิดจากรถคว่ำด้วย โดยไม่ได้จำกัดว่าการคว่ำนั้นเกิดเพราะเหตุใด เมื่อปรากฏว่ารถยนต์คันพิพาทเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์เก๋งหนึ่งคันซึ่งได้ทำสัญญาประกันภัยไว้แก่จำเลย ในระหว่างระยะเวลาประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวได้เกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำเสียหายทั้งคัน โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบเพื่อจะขอรับสิทธิตามสัญญากรมธรรม์ประกันภัยแล้ว และจำเลยได้นำซากรถยนต์มาเก็บไว้ในความครอบครองของจำเลย ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายและส่งมอบรถยนต์ให้แก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง ภัยได้เกิดขึ้นจากสภาพของรถเองจำเลยจึงไม่ต้องรับผิด และต่อสู้ในข้ออื่นอีก

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวนหนึ่งและส่งมอบซากรถยนต์แก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า โจทก์ในฐานะผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิที่จะยึดถือครอบครองและใช้ประโยชน์ในรถยนต์คันพิพาท ตลอดจนมีหน้าที่ดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและใช้การได้ดี เมื่อรถยนต์เกิดความเสียหายขึ้นไม่ว่าในกรณีใด ๆ โจทก์ต้องรับผิดชดใช้เงินค่าเช่าซื้อที่ยังค้างชำระให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อจนครบ ดังปรากฏตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 6 และเมื่อได้ใช้เงินให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว รถยนต์ก็ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ทั้งโจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยโดยตรง ดังปรากฏตามเอกสารหมาย จ.2 ดังนี้โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้

จำเลยฎีกาว่า รถยนต์คันพิพาทเกิดเหตุพลิกคว่ำเนื่องจากพวงมาลัยล็อค อันเกิดจากความขัดข้องของสภาพรถเอง มิใช่อุบัติเหตุอันเกิดจากภายนอก จึงไม่อยู่ในความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัย พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามกรมธรรม์ประกันภัยฉบับพิพาท นอกจากมีข้อสัญญาคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกแล้วยังมีข้อสัญญาคุ้มครองความเสียหายต่อรถยนต์ด้วย ดังที่ระบุไว้ในหมวดที่ 3 ข้อ 3.2 ว่า “การชน – บริษัทจะใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างระยะเวลาประกันภัยต่อรถยนต์รวมทั้งอุปกรณ์ติดประจำ เนื่องจาก : – 3.2.1 การชนหรือคว่ำหรือไฟไหม้อันเกิดจากการชนหรือคว่ำ” ซึ่งจะเห็นได้ว่าตามข้อสัญญาดังกล่าวนอกจากคุ้มครองถึงอุบัติเหตุที่เกิดจากการชนแล้ว ยังคุ้มครองถึงอุบัติเหตุที่เกิดจากรถคว่ำด้วย โดยไม่ได้จำกัดว่าการคว่ำนั้นเกิดเพราะเหตุใด ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารถยนต์คันพิพาทเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำดังกล่าวแล้วจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ดังฟ้อง

พิพากษายืน

Share