คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5700/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์มอบฉันทะให้เสมียนทนายนำคำร้องขอเลื่อนคดีมายื่น อ้างว่าทนายโจทก์ป่วยกะทันหันไม่สามารถมาว่าความได้โดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดง ซึ่งตามใบรับรองแพทย์ระบุว่าทนายโจทก์เป็นไข้หวัดเจ็บคอ ต่อมทอนซิลอักเสบ อ่อนเพลียอันเป็นการอ้างเหตุขอเลื่อนคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 41 หากข้ออ้างดังกล่าวเป็นความจริงก็ถือได้ว่ากรณีมีเหตุจำเป็นและมีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นให้เลื่อนคดีตามมาตรา 40 จำเลยแถลงคัดค้านแต่เพียงว่าศาลได้กำชับไว้ในครั้งก่อนแล้ว มิได้คัดค้านว่าคำร้อง ของ ทนายโจทก์ที่อ้างว่าป่วยเจ็บไม่เป็นความจริงจึงเท่ากับจำเลยยอมรับว่าทนายโจทก์ป่วยเจ็บจริงตามที่อ้างมาในคำร้องและใบรับรองแพทย์ นอกจากนี้หากศาลมีความสงสัยว่าทนายโจทก์ป่วยเจ็บจริงหรือไม่ศาลก็มีอำนาจไต่สวนคำร้องขอเลื่อนคดีเสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(4) หรือจะตั้งเจ้าพนักงานศาลไปตรวจดูว่าทนายโจทก์ป่วยเจ็บจริงหรือไม่ก็ได้การที่ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว ย่อมแสดงว่าศาลชั้นต้นมิได้สงสัยในเรื่องที่ทนายโจทก์อ้างว่าป่วยเจ็บ จึงรับฟังได้ว่าทนายโจทก์ไม่สามารถมาศาลได้อันเป็นกรณีมีเหตุจำเป็นสมควรให้เลื่อนคดีตามคำร้อง คดีนี้จำเลยฎีกาเฉพาะเรื่องที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีเท่านั้น จึงควรเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการนั้นเป็นคำขอที่เกินเลยไปจากคำฟ้องฎีกาที่ฎีกาคัดค้านเฉพาะเรื่องการเลื่อนคดี และเมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีว่าผู้ใดควรชนะคดี จำเลยก็ไม่อาจฎีกาในเนื้อหาแห่งคดีได้ จำเลยจึงหาต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ในคดีไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 163174 ตำบลบางพูด (บางหว้า) อำเภอปากเกร็ด (ตลาดขวัญ)จังหวัดนนทบุรี ให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีจากเงินค่าเสียหายและเงินมัดจำรวม 2,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้วกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าทนายโจทก์ป่วยโดยมีใบรับรองแพทย์ สำเนาคำร้องให้จำเลยแล้วทนายจำเลยแถลงคัดค้านว่าศาลได้กำชับไว้แล้วไม่ให้เลื่อนคดีศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้วคดีนี้โจทก์ได้ขอเลื่อนคดีมาตั้งแต่นัดแรกถึงครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 โดยในครั้งแรกอ้างว่าตัวโจทก์ป่วย ครั้งที่ 2 อ้างว่าตัวโจทก์ที่จะมาเบิกความไปเยี่ยมสามีต่างจังหวัดกลับมาไม่ทัน ครั้งที่ 3 ทนายโจทก์คนเดิมถอนตัวไปโจทก์ตั้งทนายโจทก์ใหม่ทนายโจทก์คนใหม่ขอเลื่อนคดี และครั้งที่ 4อ้างว่าทนายโจทก์คนใหม่ป่วยทั้งตามใบรับรองแพทย์ก็ปรากฏเพียงว่าเป็นไข้หวัด เจ็บคอ อักเสบต่อมทอนซิลอ่อนเพลียเท่านั้น ไม่ได้เจ็บป่วยร้ายแรงแต่อย่างใด พฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า โจทก์ไม่ตั้งใจที่จะดำเนินคดี เป็นการประวิงคดี ประกอบกับในครั้งก่อนศาลได้กำชับโจทก์แล้วว่าจะไม่ให้เลื่อนคดีอีก จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีในวันนี้ และถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบ ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ ให้นัดสืบพยานจำเลยต่อไป และศาลชั้นต้นได้สืบพยานจำเลยจนเสร็จ แล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งและคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดี และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่า มีเหตุสมควรให้โจทก์เลื่อนคดีตามคำร้องขอเลื่อนคดีของทนายโจทก์หรือไม่เห็นว่า คู่ความจะขอเลื่อนคดีได้ต้องเป็นกรณีมีเหตุจำเป็นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 40 และการอนุญาตให้เลื่อนคดีหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล กล่าวคือ ศาลจะให้เลื่อนคดีหรือไม่ก็ได้แต่ศาลก็ต้องใช้ดุลพินิจอย่างมีเหตุผลด้วยเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์มอบฉันทะให้เสมียนทนายนำคำร้องขอเลื่อนคดีมายื่น อ้างว่าทนายโจทก์ป่วยกะทันหันไม่สามารถมาว่าความได้ โดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงซึ่งตามใบรับรองแพทย์ระบุว่าทนายโจทก์เป็นไข้หวัด เจ็บคอต่อมทอนซิล อักเสบ อ่อนเพลียอันเป็นการอ้างเหตุขอเลื่อนคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 41 หากข้ออ้างดังกล่าวเป็นความจริงก็ถือได้ว่ากรณีมีเหตุจำเป็นและมีเหตุสมควรที่ศาลชั้นต้นให้เลื่อนคดีตามมาตรา 40 ดังกล่าว เมื่อจำเลยแถลงคัดค้านแต่เพียงว่าศาลได้กำชับไว้ในครั้งก่อนแล้ว มิได้คัดค้านว่าคำร้องของทนายโจกท์ที่อ้างว่าป่วยเจ็บไม่เป็นความจริง จึงเท่ากับจำเลยยอมรับว่าทนายโจทก์ป่วยเจ็บจริงตามที่อ้างมาในคำร้องและใบรับรองแพทย์ นอกจากนี้หากศาลมีความสงสัยว่าทนายโจทก์ป่วยเจ็บจริงหรือไม่ ศาลก็มีอำนาจไต่สวนคำร้องขอเลื่อนคดีเสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(4) หรือจะตั้งเจ้าพนักงานศาลไปตรวจดูว่าทนายโจทก์ป่วยเจ็บจริงหรือไม่ก็ได้การที่ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าวย่อมแสดงว่าศาลชั้นต้นมิได้สงสัยในเรื่องที่ทนายโจทก์อ้างว่าป่วยเจ็บ จึงรับฟังได้ว่า ทนายโจทก์ไม่สามารถมาศาลได้อันเป็นกรณีมีเหตุจำเป็นสมควรให้เลื่อนคดีตามคำร้อง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่ามีเหตุสมควรให้โจทก์เลื่อนคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย แต่ที่จำเลยเสียค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกามารวม 105,000 บาทนั้น คดีนี้จำเลยฎีกาเฉพาะเรื่องที่ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้โจทก์เลื่อนคดีเท่านั้น จึงควรเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นทุกประการนั้น เป็นคำขอที่เกินเลยไปจากคำฟ้องฎีกาที่ฎีกาคัดค้านเฉพาะเรื่องการเลื่อนคดี และเมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีว่าผู้ใดควรชนะคดี จำเลยก็ไม่อาจฎีกาในเนื้อหาแห่งคดีได้จำเลยจึงหาต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ในคดีไม่
พิพากษายืน คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาให้แก่จำเลย104,800 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาในส่วนที่ไม่คืนให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share