คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3974/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522มาตรา 49 ให้ศาลแรงงานมีอำนาจพิพากษาให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานหรือชดใช้ค่าเสียหายตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้เท่านั้น จะพิพากษาให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหายในระหว่างถูกเลิกจ้างจนรับกลับเข้าทำงานไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรมขอให้จำเลยจ่ายค่าจ้างในระหว่างถูกเลิกจ้างจนกว่าจำเลยจะรับโจทก์กลับเข้าทำงานซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์ตั้งประเด็นข้อพิพาทมาว่าจำเลยเป็นนายจ้างได้ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงานกลั่นแกล้งเลิกจ้างโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายที่ไม่ได้รับค่าจ้างตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์เป็นการขอให้ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะจ้างแรงงาน ซึ่งตามกฎหมายโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในกรณีดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายส่วนนี้จากจำเลยได้ แม้โจทก์จะเรียกร้องมาเป็นค่าจ้าง แต่ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังได้ว่าโจทก์เรียกค่าเสียหาย ศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 บัญญัติให้นายจ้างมีหน้าที่จ่ายสินจ้างให้แก่ลูกจ้างตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานให้ โจทก์สามารถทำงานให้นายจ้างตลอดมา แต่จำเลยกระทำผิดสัญญาจ้างแรงงานโดยได้เลิกจ้างโจทก์อย่างไม่เป็นธรรมเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายที่ไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้าง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากจำเลยแม้โจทก์ไม่ได้ทำงานให้จำเลยก็ตาม
โจทก์บรรยายฟ้องไว้ตอนหนึ่งว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพื่อทำลายและกำจัดโจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน อีกทั้งจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ในระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่าการเลิกจ้างโจทก์เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121(2) และมาตรา 123 วรรคหนึ่ง แต่โจทก์บรรยายฟ้องไว้ด้วยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้ประสบภาวะการขาดทุน ทั้งเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้มีหลักเกณฑ์และไม่ได้มีการประเมินผลตัวโจทก์ หลังจากเลิกจ้างโจทก์แล้วยังรับคนอื่นเข้ามาทำงานแทนโจทก์ เป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่มีเหตุผลเพียงพอ เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงาน และจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ อันเป็นการกล่าวหาว่าการเป็นการเลิกจ้างโจทก์โดยเหตุที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ด้วย ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องยื่นคำร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการอย่างใดก่อนดังนั้น โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยในกรณีเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมต่อศาลแรงงานได้โดยไม่ต้องยื่นคำร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติตามขั้นตอนตามมาตรา 124 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ก่อน กรณีไม่เป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8วรรคท้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เคยเป็นลูกจ้างจำเลย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้าย เดือนละ35,000 บาท เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2541 จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยอ้างเหตุคนล้นงานภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจึงจำต้องปรับปรุงโครงสร้างเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ข้ออ้างเช่นนี้ของจำเลยเป็นความเท็จ เพราะสภาวะเศรษฐกิจของจำเลยมิได้ตกต่ำผลประกอบการยังมีกำไรโดยไม่มีหนี้สินใด ๆ แต่เนื่องจากจำเลยต้องการทำลายกรรมการลูกจ้าง กรรมการสหภาพแรงงาน รวมทั้งโจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ที่ได้เคยร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเพื่อขจัดความไม่เป็นธรรมต่าง ๆ ของฝ่ายบริหาร จำเลยเลิกจ้างโจทก์ระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับสหภาพการจ้างซึ่งโจทก์เกี่ยวข้องด้วยมีผลใช้บังคับและโจทก์มิได้กระทำผิดตามมาตรา 123(1) ถึง (5) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 จึงเป็นการเลิกจ้างที่ฝ่าฝืนกฎหมาย นอกจากนี้จำเลยมิได้กำหนดหรือประกาศหลักเกณฑ์ และดำเนินการตามมาตรการและแนวทางบรรเทาปัญหาเลิกจ้างของกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม มิได้มีการประเมินผลตัวโจทก์หรือพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง ทั้งหลังจากเลิกจ้างโจทก์แล้วจำเลยรับคนอื่นเข้ามาทำงานแทนโจทก์ การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องขาดรายได้ซึ่งเป็นค่าจ้างและขาดส่งเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิม โดยให้โจทก์ได้รับสิทธิและผลประโยชน์ตามเดิมทุกประการให้จำเลยชำระค่าจ้างตั้งแต่วันเลิกจ้างถึงวันฟ้องจำนวน 415,333 บาท ค่าจ้างในอัตราเดือนละ 35,000 บาท และให้จำเลยส่งเงินสมทบเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพนับจากวันที่ 31 ธันวาคม 2540 ถึงวันฟ้องจำนวน 29,400 บาท และในอัตราเดือนละ 2,450บาท นับจากวันฟ้องพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หรือรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิม

จำเลยให้การว่า คำฟ้องโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากการกลั่นแกล้งเพราะเหตุที่โจทก์เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งโจทก์เกี่ยวข้องด้วยมีผลใช้บังคับ เป็นการกล่าวหาว่าจำเลยกระทำฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121 และมาตรา 123 ไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ซึ่งมาตรา 124 กำหนดให้โจทก์ต้องยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่มีการฝ่าฝืนกฎหมาย แต่โจทก์มิได้ดำเนินการดังกล่าว จึงไม่มีอำนาจฟ้องอย่างไรก็ตามที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์และพนักงานอื่น ๆ เนื่องจากมีตำแหน่งงานซ้ำซ้อนจำนวนมาก รายได้ลดลงอย่างมากและมีแนวโน้มว่าจะประสบการขาดทุน ก่อนเลิกจ้างโจทก์ จำเลยได้ประกาศแจ้งนโยบายที่จะลดจำนวนลูกจ้างให้ลูกจ้างทุกคนทราบและพยายามหางานที่เหมาะสมให้โจทก์ทำงานแล้ว แต่ไม่อาจจัดให้โจทก์ไปทำงานที่หน่วยงานใดได้อีก และโจทก์มิได้ใช้สิทธิลาออกจำเลยจึงได้เลิกจ้างและได้จ่ายค่าชดเชยและเงินต่าง ๆ ตามกฎหมายให้แก่โจทก์ถูกต้องครบถ้วนแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานตามเดิมและชำระค่าเสียหายรวมทั้งเงินอื่น ๆ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยรับโจทก์เข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับขณะเลิกจ้าง รวมทั้งให้ได้รับสิทธิและผลประโยชน์ต่าง ๆ เท่าเดิมโดยต้องเป็นไปตามกฎระเบียบนั้น ๆ คำขออื่นตามฟ้องนอกจากนี้ให้ยกเสีย

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าจำเลยต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นค่าจ้างอัตราเดือนละ 35,000 บาท นับแต่วันที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จนถึงวันที่ศาลแรงงานกลางพิพากษานั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 บัญญัติว่า “การพิจารณาคดีในกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างถ้าศาลแรงงานเห็นว่าการเลิกจ้างลูกจ้างผู้นั้นไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้างศาลแรงงานอาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างผู้นั้นเข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ ให้ศาลแรงงานกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้แทนโดยให้ศาลคำนึงถึงอายุของลูกจ้าง ระยะเวลาการทำงานของลูกจ้างความเดือดร้อนของลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้างมูลเหตุแห่งการเลิกจ้างและเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับประกอบการพิจารณา”บทบัญญัติดังกล่าวให้ศาลแรงงานมีอำนาจพิจารณาพิพากษาให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานหรือชดใช้ค่าเสียหายตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้เท่านั้น จะพิพากษาให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหายในระหว่างถูกเลิกจ้างจนรับกลับเข้าทำงานไม่ได้เพราะมาตรา 49 มิได้ให้อำนาจไว้ แต่คดีนี้โจทก์ได้บรรยายฟ้องมาโดยชัดแจ้งว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นธรรม ขอให้จำเลยจ่ายค่าจ้างในระหว่างถูกเลิกจ้างจนกว่าจำเลยจะรับโจทก์กลับเข้าทำงานซึ่งเป็นกรณีที่โจทก์ตั้งประเด็นข้อพิพาทมาโดยตรงว่าจำเลยเป็นนายจ้างได้ปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงานกลั่นแกล้งเลิกจ้างโจทก์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายที่ไม่ได้รับค่าจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์เป็นการขอให้ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะจ้างแรงงาน ซึ่งตามกฎหมายโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในกรณีดังกล่าว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายส่วนนี้จากจำเลยได้ แม้โจทก์จะเรียกร้องมาเป็นค่าจ้าง แต่ข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังได้ว่าโจทก์เรียกค่าเสียหายศาลก็มีอำนาจพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายได้ เมื่อพิเคราะห์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 575 บัญญัติให้นายจ้างมีหน้าที่จ่ายสินจ้างให้แก่ลูกจ้างตลอดเวลาที่ลูกจ้างทำงานให้ โจทก์ในคดีนี้สามารถทำงานให้นายจ้างตลอดมาแต่จำเลยกระทำผิดสัญญาจ้างแรงงานโดยได้เลิกจ้างโจทก์อย่างไม่เป็นธรรม เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายที่ไม่ได้ทำงานและไม่ได้รับค่าจ้าง โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากจำเลยแม้โจทก์ไม่ได้ทำงานให้จำเลยก็ตาม ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าขณะที่โจทก์ถูกเลิกจ้างโจทก์มิได้ทำงานให้แก่จำเลย จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น แต่การกำหนดค่าเสียหายดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงเห็นสมควรให้ศาลแรงงานกลางใช้ดุลพินิจกำหนดจำนวนค่าเสียหายส่วนนี้ให้โจทก์ตามที่เห็นสมควร

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวอ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพื่อต้องการทำลายและกำจัดกรรมการลูกจ้างและคณะกรรมการสหภาพแรงงานหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รวมทั้งโจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานด้วยคนหนึ่ง อีกทั้งได้เลิกจ้างโจทก์ในระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งโจทก์เกี่ยวข้องมีผลใช้บังคับ จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121(2) และมาตรา 123 วรรคหนึ่ง เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายต้องยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามมาตรา 124 ก่อน เมื่อโจทก์มิได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ถือว่าไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์กำหนด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522มาตรา 8 วรรคสองนั้น เห็นว่าแม้คำฟ้องโจทก์จะบรรยายฟ้องไว้ตอนหนึ่งว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพื่อต้องการทำลายและกำจัดกรรมการลูกจ้างและคณะกรรมการสหภาพแรงงานหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ รวมทั้งโจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานด้วย อีกทั้งจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ในระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งโจทก์เกี่ยวข้องมีผลใช้บังคับซึ่งเป็นการกล่าวอ้างว่าการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121(2) และมาตรา 123 วรรคหนึ่งแต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องไว้ด้วยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้ประสบภาวะการขาดทุนจำเลยยังคงมีกำไรและไม่มีหนี้สินใด ๆ ทั้งจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้มีหลักเกณฑ์และไม่ได้มีการประเมินผลตัวโจทก์ หลังจากเลิกจ้างโจทก์แล้วจำเลยยังรับคนอื่นเข้ามาทำงานแทนโจทก์ เป็นการเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและไม่มีเหตุผลเพียงพอเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานกับจำเลยตามเดิมและรับผิดจ่ายค่าเสียหายให้แก่โจทก์ อันเป็นการกล่าวหาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเลิกจ้างโจทก์โดยเหตุที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ด้วย ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติให้โจทก์ต้องยื่นคำร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการอย่างใดก่อนที่จะดำเนินการฟ้องร้องในศาลแรงงาน ดังนั้นโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยในกรณีเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าวต่อศาลแรงงานกลางได้โดยไม่ต้องยื่นคำร้องต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติตามขั้นตอนตามมาตรา 124 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ก่อนกรณีไม่เป็นการต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 8 วรรคท้าย ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลแรงงานกลางใช้ดุลพินิจกำหนดจำนวนค่าเสียหายระหว่างที่โจทก์ถูกเลิกจ้างจนถึงวันที่จำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานแล้วพิพากษาใหม่เฉพาะประเด็นนี้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share