คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1422/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อที่ยอมให้บุคคลอื่นใช้รถที่เช่าซื้อ เมื่อการปฏิบัติผิดสัญญาเป็นเหตุให้รถที่เช่าซื้อ ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดเป็นของกลางในคดีอาญา จำเลยจะอ้างว่าโจทก์ไม่ยอมไปขอรับรถที่ถูกยึดคืน จำเลยจึงหลุดพ้นจากการต้องคืนรถที่เช่าซื้อแก่โจทก์ หรือไม่ต้องรับผิดในค่าขาดประโยชน์ไม่ได้ กรณีมิใช่เป็นการชำระหนี้พ้นวิสัยตาม ป.พ.พ. มาตรา 219 อันจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ไม่ต้องรับผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์คืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากคืนไม่ได้ให้ชำระราคาเป็นเงิน ๓๒๙,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคา
จำเลยให้การว่า จำเลยได้เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ต่อมา ป. ได้เช่ารถยนต์พิพาทจากจำเลยไปทำธุรกิจส่วนตัว ที่จังหวัดสระบุรี เมื่อครบกำหนด ป. ไม่นำรถยนต์มาคืน ต่อมาจำเลยจึงทราบว่า รถยนต์พิพาทได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ยึดเป็นของกลางในคดีอาญา จำเลยติดตามไปขอคืน แต่เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งว่าต้องให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไปขอคืนเอง หรือมอบอำนาจให้ผู้หนึ่งผู้ใดมา จำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบและขอให้โจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยไปรับรถยนต์แทน แต่โจทก์ไม่ยอมออกหนังสือมอบอำนาจให้ จำเลยจึงได้ระงับส่งเงินตามสัญญาเช่าซื้อจนกว่าโจทก์จะไปขอรับรถยนต์กลับคืนมา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยเช่าซื้อรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์ในราคา ๔๒๗,๑๐๔ บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้องวดละเดือน เดือนละ ๘,๘๙๘ บาท จำเลยชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เพียง ๑๑ งวด เป็นเงิน ๙๗,๘๗๘ บาท ในระหว่างเช่าซื้อรถยนต์พิพาทถูกเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ยึดเป็นของกลางในคดีอาญา พร้อมเมทแอมเฟตามีนจำนวน ๒๘๐ เม็ด มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อและจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๓ (ค) มีข้อตกลงว่า “ผู้เช่าซื้อจะไม่ใช้หรืออนุญาตให้ผู้อื่นใช้ทรัพย์สินเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ อันมิได้มุ่งหมายสำหรับทรัพย์สินหรือไม่เหมาะสมตามสมควร หรือโดยประการที่ขัดต่อกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับใด… ทั้งจะไม่อนุญาตให้บุคคลอื่นใดใช้ หรือจัดการโดยประการอื่นกับทรัพย์สิน หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของทรัพย์สิน” ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยรับว่าจำเลยค้างชำระค่าเช่าซื้อจริง เพียงแต่อ้างว่า ที่ไม่ชำระค่าเช่าซื้อเพราะโจทก์ไม่ไปขอรับรถยนต์พิพาทหรือมอบอำนาจให้จำเลยรับรถยนต์คืนจากเจ้าพนักงานตำรวจ จำเลยจึงไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ ปัญหาคงมีเพียงว่าการที่รถยนต์ถูกยึดเป็นความผิดของจำเลย หรือเกิดจากเหตุสุดวิสัยดังที่ศาลล่างทั้งสองศาลวินิจฉัยหรือไม่ เห็นว่า รถยนต์พิพาทถูกยึดเป็นของกลางในคดีอาญา ซึ่งตามบันทึกประจำวันเอกสารหมาย ล. ๗ ท้ายคำให้การ ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจยึดรถยนต์พิพาท พร้อมเมทแอมเฟตามีน จำนวน ๒๘๐ เม็ด จำเลยนำสืบอ้างส่งหนังสือสัญญาเช่ารถตามเอกสารหมาย ล. ๑ มีข้อพิรุธว่าเหตุใดการเช่าเพียงวันเดียวจึงต้องมีการทำสัญญาเช่า และถ้าจำเลยให้ ป. เช่ารถยนต์คันอื่นมาแล้วหลายครั้ง ก็น่าจะนำหลักฐานการเช่าในครั้งอื่นมาแสดงด้วย เมื่อจำเลยไม่นำหลักฐานดังกล่าวมาแสดง จึงน่าเชื่อว่าเอกสารหมาย ล. ๑ อาจเพิ่งทำขึ้นในภายหลังก็ได้ ที่พยานจำเลยเบิกความว่า ป. เคยเช่ารถยนต์จากจำเลยหลายครั้ง เพียงครั้งเกิดเหตุนี้เท่านั้น จำเลยไม่ได้เป็นผู้ขับรถยนต์เอง เห็นว่าคำเบิกความดังกล่าวพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิด จึงเป็นพิรุธ เชื่อว่าจำเลยนำรถยนต์พิพาทไปให้ ป. เช่าหรือใช้ครั้งนี้ จำเลยทราบดีว่ามิได้เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ ข้อ ๓ (ค) ทั้งหนี้ ที่จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์เป็นหนี้เงิน จึงมิใช่เป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยจะชำระหนี้แก่โจทก์ได้ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ จะยกเหตุจากความผิดของจำเลยเองเป็นเหตุไม่ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ไม่ได้ โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและเรียกค่าเสียหายได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย โดยมิใช่เกิดจากความผิดของจำเลยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา ๒๐๐,๐๐๐ บาทแทน กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวมทั้งสิ้น ๑๐,๐๐๐ บาท.

Share