แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้ทำสัญญากับโจทก์ซึ่งก็ทราบว่าจำเลยมีภริยาอยู่แล้ว มีสาระสำคัญว่าโจทก์จำเลยยินยอมเป็นสามีภริยากันตั้งแต่วันทำสัญญาโดยจำเลยจะจ่ายเงินให้แก่โจทก์เดือนละ 1,000 บาท สัญญาดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนตกเป็นโมฆะ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญายินยอมเป็นสามีภริยากันโดยจำเลยต้องจ่ายเงินให้โจทก์เดือนละ 1,000 บาท โจทก์จำเลยจึงเป็นสามีภริยากันตั้งแต่นั้นมา จำเลยจ่ายเงินให้โจทก์ตลอดมาจนถึงเดือนเมษายน 2525 แล้วไม่จ่ายให้ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 40,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ได้บอกเลิกสัญญาตามฟ้องกับโจทก์แล้ว โจทก์ทราบดีว่าจำเลยมีภริยาอยู่ก่อนแล้ว สัญญาดังกล่าวใช้บังคับไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 4,000 บาทแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 มีข้อความว่าโจทก์จำเลยตกลงยินยอมเป็นสามีภริยากันตั้งแต่วันทำสัญญาโดยจำเลยจะจ่ายเงินให้กับโจทก์ เป็นเงินเดือนละ 1,000 บาท ตั้งแต่สิ้นเดือนมกราคม 2520 เป็นต้นไปหากโจทก์มีบุตรกับจำเลย จำเลยต้องรับเป็นบุตรโดยถูกต้องตามกฎหมายโดยไปจดทะเบียนรับรองบุตรต่อนายทะเบียนท้องที่ ข้อความในสัญญาแสดงว่าโจทก์จำเลยตกลงอยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งโจทก์ก็ทราบว่าจำเลยมีภริยาชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว สัญญาดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 โจทก์ฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์