คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3970/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเคยถูกอัยการฟ้องเป็นคดีอาญา ต่อศาลแขวงในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ศาลแขวงวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถคันเกิดเหตุ คงมีเพียงปากเดียวยืนยันว่าผู้ขับรถเป็นหญิง แต่ไม่ยืนยันว่าเป็นจำเลยจำเลยก็นำสืบปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ขับรถคันดังกล่าวพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลย พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด ดังนี้ถือว่าศาลในคดีอาญาไม่ได้ชี้ขาดว่าจำเลยไม่ได้เป็นคนขับรถคันเกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าวเป็นโจทก์ฟ้องทางแพ่งเป็นคดีนี้เรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลย โจทก์จึงมีสิทธินำพยานเข้าสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนขับรถคันเกิดเหตุ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยได้ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อ หักพวงมาลัยรถเลี้ยวไปทางขวา ตัดหน้ารถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ 1 โดยกะทันหันและไม่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวเพื่อกลับรถอ้อมเกาะกลางถนน รถจักรยานยนต์ของโจทก์ที่ 1 ไม่สามารถหลบหลีกได้ทันเป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์จำเลย ทำให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องรักษาตัวเป็นเวลา 180 วันและ 45 วันตามลำดับ โจทก์ที่ 1ได้รับความเสียหายต้องเสียค่ารักษาพยาบาลขาดประโยชน์จากการทำมาหาได้เสียค่าใช้จ่ายไประหว่างการรักษาพยาบาล เสียความสามารถในการประกอบการงาน และเสียค่าซ่อมรถจักรยานยนต์รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 137,000 บาท โจทก์ที่ 2 ได้รับความเสียหายต้องเสียค่ารักษาพยาบาล ขาดประโยชน์จากการทำมาหาได้ เสียค่าใช้จ่ายระหว่างการรักษาพยาบาลและเสียความสามารถในการประกอบการงาน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 65,000 บาท รวมค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสอง 202,000 บาท โจทก์ทั้งสองทวงถามแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระให้โจทก์ทั้งสองขอคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงินต้นจำนวน 202,000 บาท นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย15,150 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 217,150 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน 217,150 บาท แก่โจทก์ทั้งสองพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในเงินต้นจำนวน 202,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยได้เช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อซูซูกิ หมายเลขทะเบียน 3ผ.8786มาจากบริษัทสยามอินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัดและได้ให้นายศักดิ์ ดอนกระโทก เช่ารถดังกล่าวไป นายศักดิ์จึงเป็นผู้ครอบครองรถ จำเลยเป็นหญิงขับรถไม่เป็น และไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้อง เหตุที่รถเกิดชนกันเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่ 1 ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์ที่ 1 ชดใช้เงินจำนวน 79,800 บาท แก่จำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระให้จำเลยเสร็จ โจทก์ที่ 1 แถลงไม่ติดใจให้การแก้ฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้ทำละเมิดเพราะไม่ได้เป็นผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุ และโจทก์ที่ 1 ก็ไม่ได้เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อ พิพากษาให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้ง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 100,000 บาท ให้โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 50,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอ้างว่าในทางอาญาพนักงานอัยการได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงพระนครเหนือข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับอันตรายสาหัส ศาลแขวงพระนครเหนือ พิพากษายกฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 22415/2528นั้น ตามคำพิพากษาแนบท้ายฎีกาจำเลยนั้น เห็นว่า คดีอาญาดังกล่าวศาลแขวงพระนครเหนือเพิ่งพิพากษาเมื่อคดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาเห็นสมควรรับไว้พิจารณาโดยฟังว่าคดีอาญาดังกล่าวศาลแขวงพระนครเหนือได้มีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์จริง แต่อย่างไรก็ตามศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำพิพากษาศาลแขวงพระนครเหนือที่พิพากษายกฟ้องโจทก์แล้วปรากฏว่าศาลแขวงพระนครเหนือวินิจฉัยคดีว่าโจทก์ไม่มีพยานมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ขับ คงมีแต่นายสิทธิชัยทรัพย์เย็น (โจทก์คดีนี้) เพียงปากเดียวที่ยืนยันว่า ผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุเป็นหญิง แต่ก็ไม่ยืนยันว่าเป็นจำเลย จำเลยก็นำสืบปฏิเสธอยู่ว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ขับรถยนต์คันเกิดเหตุ เพราะจำเลยขับรถไม่เป็น พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลย พิพากษายกฟ้องดังนี้ถือว่า ศาลไม่ได้ชี้ขาดว่าจำเลยไม่ได้เป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุ เพียงแต่พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยเมื่อผู้เสียหายทั้งสองเป็นโจทก์ฟ้องทางแพ่งเป็นคดีนี้เรียกค่าเสียหาย และนำสืบให้ฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุศาลก็ฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ว่า จำเลยเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุเทียบตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 7/2491 ระหว่าง นางสงวน มีขันทองโจทก์ นายนาก เกิดน้อย กับพวก จำเลย และคำพิพากษาฎีกาที่1186/2524 ระหว่างนางจำเริญ จำเนียรกุล โจทก์ นายสุเทพจำเนียรกุล จำเลย ดังนั้นเมื่อชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์ทั้งสองกับพยานหลักฐานจำเลยแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานจำเลยมีพิรุธและขัดต่อเหตุผลไม่มีน้ำหนักให้เชื่อถือ สู้พยานหลักฐานโจทก์ทั้งสองไม่ได้ ศาลฎีกาจึงเชื่อว่า จำเลยเป็นคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุดังโจทก์ทั้งสองฟ้องจริง ส่วนในประเด็นที่ว่าจำเลยประมาทหรือไม่และในเรื่องค่าเสียหาย ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่า จำเลยเป็นฝ่ายประมาท และกำหนดให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยไม่ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในประเด็นทั้งสองนี้ เป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”
พิพากษายืน

Share