แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาศาลเพื่อให้ศาลทำการไต่สวน ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นคนยากจนจริงโดยผู้ร้องขอให้พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น และมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลื่อนการพิจารณาคดีในวันนัดไต่สวนออกไป ถือไม่ได้ว่าเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาซึ่งจะต้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนดเวลา 7 วัน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 156 วรรคท้าย ผู้ร้องจึงชอบที่จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นได้ภายในกำหนดเวลา 1 เดือน ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 (2)
แม้ทนายผู้ร้องจะอ้างความเจ็บป่วยของบิดาเป็นเหตุให้มาศาลตามกำหนดนัดไม่ได้ แต่ก็เป็นการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยไม่ปรากฏเหตุสมควรที่จะทำให้เห็นได้ว่าทนายผู้ร้องต้องไปเฝ้าดูแลด้วยตนเองถึงขนาดที่จะมาศาลตามกำหนดนัดไม่ได้แต่อย่างใด ประกอบกับผู้ร้องและพยานมิได้มาศาล พฤติการณ์ของทนายผู้ร้องและผู้ร้องส่อไปในทางประวิงคดี ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานเข้าทำการไต่สวนให้น่าเชื่อว่าผู้ร้องมีฐานะยากจนและยกคำร้องของผู้ร้องจึงชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 12,412,026.42 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ของต้นเงิน 8,158,954.38 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมชำระเงินจำนวน 4,323,801.38 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และของต้นเงิน 1,501,347.68 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองแก่โจทก์ออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองบังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบกับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) รวม 7 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่าที่ดินทั้ง 7 แปลงที่ยึดไม่ใช่ของจำเลยทั้งสอง แต่เป็นทรัพย์สินของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด พร้อมกับยื่นคำร้องขออนุญาตดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา เมื่อถึงวันนัดทนายผู้ร้องยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีผ่านการส่งโทรสารจากศาลจังหวัดเพชรบุรี ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี และถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาศาลเพื่อให้ศาลทำการไต่สวน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นคนยากจนจริง ให้ยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาหากผู้ร้องประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปให้นำเงินค่าธรรมเนียมมาชำระต่อศาลภายใน 15 วัน นับแต่วันมีคำสั่ง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้อง ให้คืนค่าธรรมเนียมจำนวน 3,250 บาท แก่ผู้ร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องว่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยกอุทธรณ์ของผู้ร้อง เนื่องจากผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นเกินกำหนด 7 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย ชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาศาลเพื่อให้ศาลทำการไต่สวน ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นคนยากจนจริง โดยผู้ร้องขอให้พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น และมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลื่อนการพิจารณาคดีในวันนัดไต่สวนออกไป ถือไม่ได้ว่าเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาซึ่งจะต้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งภายในกำหนดเวลา 7 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย ผู้ร้องจึงชอบที่จะยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นได้ภายในกำหนดเวลา 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 (2) คดีนี้ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและยกคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของผู้ร้องเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2549 ผู้ร้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นในวันที่ 10 เมษายน 2549 จึงอยู่ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ชอบที่จะต้องพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งของผู้ร้องต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงในคดีพอที่ศาลฎีกาจะรับวินิจฉัยได้แล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมมิให้เสียเวลาในการพิจารณาคดี ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยชี้ขาดไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาสั่งอีก ข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่า ในวันที่ 27 มีนาคม 2549 ทนายผู้ร้องได้ยื่นคำร้องผ่านการส่งโทรสารจากศาลจังหวัดเพชรบุรีขอเลื่อนการไต่สวน โดยอ้างว่าบิดาของทนายผู้ร้องเป็นโรคไตวายเรื้อรัง ต้องเดินทางไปฟอกไตที่โรงพยาบาลเมืองเพชร -ธนบุรี ซึ่งทนายผู้ร้องต้องไปเฝ้าดูแล จึงไม่สามารถเดินทางมาศาลในวันนัดได้ประกอบกับผู้ร้องและพยานไม่ได้เดินทางมาศาล เห็นว่า แม้จะเป็นความเจ็บป่วยของบิดาทนายผู้ร้องก็ตาม แต่ก็เป็นการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยไม่ปรากฏเหตุสมควรที่จะทำให้เห็นได้ว่าทนายผู้ร้องต้องไปเฝ้าดูแลด้วยตนเองถึงขนาดที่จะมาศาลตามกำหนดนัดไม่ได้แต่อย่างใด ประกอบกับผู้ร้องและพยานมิได้มาศาล พฤติการณ์ของทนายผู้ร้องและผู้ร้องส่อไปในทางประวิงคดีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานเข้าทำการไต่สวนให้น่าเชื่อว่าผู้ร้องมีฐานะยากจนและยกคำร้องของผู้ร้องจึงชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ