คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5279/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ โดยอ้างว่า จำเลยที่ 4 มิได้มีภูมิลำเนาที่แท้จริงอยู่ตามฟ้อง ไม่เคยทราบว่าถูกฟ้อง ไม่เคยแต่งตั้งทนายความเข้ามาในคดีและไม่เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ เท่ากับจำเลยที่ 4 อ้างว่าการส่งหมายและกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ดังนั้น หากศาลชั้นต้นทำการไต่สวนแล้วปรากฏว่าจำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดและข้อเท็จจริงได้ความตามคำร้องกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นดำเนินมาจนกระทั่งศาลชั้นต้นพิพากษาคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ย่อมถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาไปโดยหลงผิด จำเลยที่ 4 ชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ศาลชั้นต้นจึงต้องรับคำร้องของจำเลยที่ 4 ไว้ไต่สวนแล้วมีคำสั่งตามรูปคดีต่อไป

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งห้าชำระเงินจำนวน 1,189,481.09 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,024,380.47 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งห้ายอมผ่อนชำระให้แก่โจทก์ ณ สำนักงานของโจทก์เป็นรายเดือนภายในวันสิ้นสุดของทุกๆ เดือนติดต่อกันไปไม่น้อยกว่าเดือนละ 16,000 บาท โดยเริ่มผ่อนชำระตั้งแต่เดือนตุลาคม 2545 เป็นต้นไป และจะชำระหนี้ทั้งหมดให้เป็นการเสร็จสิ้นภายใน 12 เดือน นับแต่วันที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยทั้งห้ายอมชำระค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนกับค่าทนายความจำนวน 6,000 บาท ให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2545 โดยนำไปชำระ ณ สำนักงานของโจทก์หากจำเลยทั้งห้าผิดนัดไม่ชำระหนี้ข้อใดข้อหนึ่งหรือเดือนใดเดือนหนึ่งให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด จำเลยทั้งห้ายอมให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจกท์จนครบถ้วน
ต่อมาจำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 4 มิได้มีภูมิลำเนาที่แท้จริงอยู่ตามฟ้อง ในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 4 ไปพักอาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานคร เพื่อประกอบอาชีพ จำเลยที่ 4 ไม่เคยทราบว่าถูกฟ้อง แต่ปรากฏว่า มีชื่อจำเลยที่ 4 เป็นผู้แต่งทนายความและยื่นคำให้การต่อสู้คดี ความจริงจำเลยที่ 4 ไม่เคยแต่งตั้งทนายความเข้ามาในคดีและไม่เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงขอให้พิจารณาคดีใหม่โดยอนุญาตให้จำเลยที่ 4 ยื่นคำให้การต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีไม่มีการพิจารณาไปฝ่ายเดียว จึงให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 4 ว่าจำเลยที่ 4 มีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ จำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่โดยอ้างว่า จำเลยที่ 4 มิได้มีภูมิลำเนาที่แท้จริงอยู่ตามฟ้องในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยที่ 4 ไปพักอาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานครเพื่อประกอบอาชีพ จำเลยที่ 4 ไม่เคยทราบว่าถูกฟ้อง แต่ปรากฏว่ามีชื่อจำเลยที่ 4 เป็นผู้แต่งทนายความและยื่นคำให้การต่อสู้คดี จำเลยที่ 4 ไม่เคยแต่งตั้งทนายความเข้ามาในคดีและไม่เคยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงขอให้พิจารณาคดีใหม่โดยอนุญาตให้จำเลยที่ 4 ยื่นคำให้การต่อสู้คดี ตามคำร้องดังกล่าวเท่ากับจำเลยที่ 4 กล่าวอ้างว่า การส่งหมายให้แก่จำเลยที่ 4 และกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกระทำโดยมิชอบและถือเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ดังนั้น หากศาลชั้นต้นทำการไต่สวนแล้ว ปรากฏว่าจำเลยที่ 4 ยื่นคำร้องภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดและได้ความตามคำร้องว่า ขณะถูกฟ้องจำเลยที่ 4 ไปพักอาศัยอยู่ที่กรุงเทพมหานครและจำเลยที่ 4 ไม่ได้แต่งตั้งทนายความเข้ามาในคดี กระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นดำเนินมาในส่วนของจำเลยที่ 4 ย่อมไม่ชอบแต่ต้นกระบวนพิจารณาต่อ ๆ มาจนกระทั่งศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นก็ย่อมไม่ชอบไปด้วย เพราะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยหลงผิด จำเลยที่ 4 จึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการพิจารณาที่ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการไปนั้นเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะรับคำร้องของจำเลยที่ 4 ไว้พิจารณาและทำการไต่สวนสั่งการไปตามรูปคดี การที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ 4 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 4 ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องของจำเลยที่ 4 ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2548 และดำเนินการไต่สวนแล้วมีคำสั่งต่อไปตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share