คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เพียงแต่ชายคาเรือนยื่นเกินจากแนวเขตที่ดินของตนเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น หาทำให้ที่ดินใต้ชายคาเป็นสิทธิแก่เจ้าของเรือนในทางครอบครองไม่

ย่อยาว

คดีเรื่องนี้โจทก์ฟ้องกล่าวความว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2493 โจทก์ได้ซื้อที่ดิน 1 แปลง จากนายบุญช่วย เนื้อที่ 42 งาน โดยจดทะเบียนการซื้อขายตามกฎหมาย และได้ครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมา ครั้นเมื่อเดือนกันยายน 2496 จำเลยบังอาจถอนรั้วหลักเขตแดนของโจทก์แล้วก่อสิ่งปลูกสร้างถาวรรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์กว้าง 1 ศอกเศษ ยาว 3 วาเศษ จึงขอให้ขับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินรายพิพาทและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปเสียด้วย

จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของจำเลย โดยซื้อมาจากนายบุญช่วย เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2494 โจทก์เอาไม้ไปปักในที่ดินของจำเลย จำเลยได้บอกกล่าวโจทก์ให้ทราบแล้ว จำเลยกระทำในที่ดินของจำเลยเอง หาได้บุกรุกที่ของโจทก์ไม่

จำเลยร้องขอให้เรียกนายบุญช่วยผู้ขายมาเป็นจำเลยร่วมด้วย

นายบุญช่วยจำเลยร่วมต่อสู้ว่าได้ขายที่ดินให้แก่โจทก์จำเลยมาหลายปีแล้ว โดยมิได้มีผู้ใดว่ากล่าวโต้แย้งในเรื่องเขตที่ดินกันประการใดเมื่อโจทก์จำเลยปลูกสร้างอันใดขึ้นใหม่รุกล้ำกันประการใดก็เป็นเรื่องของโจทก์จำเลยเอง ไม่เกี่ยวกับตัวนายบุญช่วยจำเลยร่วมอย่างใด

ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาแล้ว เชื่อว่าโจทก์ได้ปลูกห้องแถวขึ้นใหม่ในที่ดินของโจทก์เองตั้งแต่ พ.ศ. 2494 แม้ชายคาห้องแถวของโจทก์จะล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยประมาณ 1 ศอก ดังคำให้การของจำเลย แต่จำเลยก็มิได้ว่ากล่าวคัดค้านประการใดเกินกว่าเวลา 1 ปีแล้วจำเลยก็ขาดสิทธิครอบครองในที่ดินส่วนที่ชายคาห้องล้ำออกไปประมาณ 1 ศอกนั้นด้วย เพราะเป็นที่ดินมือเปล่า ที่ดินส่วนนี้จึงเป็นของโจทก์จึงพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินรายพิพาทตามเส้นสีแดงในแผนที่วิวาท ห้ามมิให้เกี่ยวข้องต่อไปและให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปเสียด้วย

จำเลยผู้เดียวอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า แนวเขตที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่งปรากฏตามแผนที่ท้ายหนังสือสัญญาซื้อขายนั้น เป็นแนวเส้นตรงที่พิพาทอยู่ในเขตที่ของจำเลย สิ่งที่จำเลยก่อสร้างก็อยู่ในที่ดินของจำเลย หาได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ไม่ เรื่องชายคาจะรุกล้ำกันอย่างใดไม่เกี่ยวกับเรื่องบุกรุกที่ดินตามที่โจทก์ฟ้องนี้ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้ยกฟ้องของโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้ว

ข้อเท็จจริงแห่งคดีได้ความว่า ที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลยซึ่งมีเขตติดต่อและเกี่ยวข้องเป็นความกันอยู่นี้ เดิมเป็นที่ดินผืนใหญ่แปลงเดียวกัน ซึ่งนายบุญช่วยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มีห้องแถวปลูกอยู่ทางด้านริมถนน 3 ห้อง นายบุญช่วยได้แบ่งขายให้โจทก์ไป 2 ห้องรวมทั้งที่ดินว่างเปล่าด้านหลังห้องทั้งสองนั้นคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 52 ตารางวา ปรากฏตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินที่ 1/25 ลงวันที่ 1 มีนาคม 2493 ต่อมาได้ขายอีก 1 ห้องที่เหลือกับที่ดินว่างเปล่าด้านหลังห้องนั้น คิดเป็นเนื้อที่ 24 ตารางวาเศษให้แก่จำเลย ปรากฏตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินที่ 6/490 ลงวันที่ 2 มีนาคม 2494 ใน พ.ศ. 2494 นั้นเอง โจทก์ได้ปลูกสร้างห้องแถวเพิ่มขึ้นในที่ว่างหลังห้องเดิมของโจทก์ ได้เรียกจำเลยให้มาตรวจดูเขต ปรากฏว่ายกเสาห้องแถวขึ้นแล้วในที่ดินของโจทก์ ไม่ได้มีการรุกล้ำแก่กันอย่างใด ต่อมา พ.ศ. 2496 จำเลยไปตรวจดูปรากฏว่าชายคาหลังห้องแถวของโจทก์ที่สร้างใหม่นั้นรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของจำเลย และมีเสาปักอยู่ในที่ดินของจำเลย 2 ต้น จำเลยจึงบอกกล่าวให้โจทก์ถอนเสา 2 ต้นนั้นออกไป โจทก์ไม่ยอมถอน จำเลยจึงถอนขึ้นเอง แล้วปลูกครัวขึ้นใกล้กับฝาหลังห้องแถวของโจทก์ที่ปลูกใหม่นั้น จึงเกิดพิพาทกันเป็นคดีเรื่องนี้ขึ้น โดยมีเนื้อที่พิพาทตามวงเส้นสีแดงในแผนที่วิวาทเป็นรูปชายธงกว้าง 1 ศอกเศษยาว 5 วาเศษ

โจทก์จำเลยต่างนำสืบว่าที่พิพาทเป็นของตน โดยต่างได้รับซื้อจากนายบุญช่วยมาเช่นนั้น

ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ถ้อยคำพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายโดยละเอียดแล้ว เห็นว่าที่ดินรายพิพาทเป็นที่ดินส่วนน้อย ระหว่างเขตที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดต่อกันและทั้งสองฝ่ายต่างอ้างความเป็นเจ้าของ โดยได้รับซื้อมาจากนายบุญช่วยเจ้าของเดิมคนเดียวกันแบ่งขายให้มา ปัญหาสำคัญในคดีเรื่องนี้จึงอยู่ที่ว่านายบุญช่วยได้ขายที่ดินรายพิพาทนี้ให้แก่โจทก์หรือจำเลย

พิจารณาตามแผนที่หลังหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินของโจทก์กับของจำเลยเปรียบเทียบกัน เห็นได้ชัดว่าแนวเขตด้านที่ติดต่อกันระหว่างที่ดินของโจทก์กับของจำเลยนี้ เป็นแนวเส้นตรงจากทิศใต้ไปทิศเหนือมิใช่แนวเส้นโย้เอียงไปทางใด รูปที่ดินของจำเลยเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงกับรูปที่ดินหมายสีน้ำเงินที่จำเลยนำชี้ในแผนที่วิวาท ส่วนรูปที่ดินหลังหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินของโจทก์เป็นรูปคางหมู โดยทางด้านที่ติดต่อกับที่ดินของจำเลยเป็นเส้นตรงตอนที่โย้นั้นยื่นออกไปทางมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แต่รูปที่ดินหมายสีดำที่โจทก์นำชี้ในแผนที่วิวาท ทางด้านตะวันออกเป็นเส้นตรง ส่วนที่โย้กลับกลายเป็นทางมุมด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือทำให้รูปที่ดินของจำเลยไม่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าไปเสียแล้ว และที่ดินรายพิพาทหมายสีแดงนี้อยู่ในรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าในแนวเขตหมายสีน้ำเงิน สมตามที่จำเลยนำชี้ รูปคดีก็น่าเชื่อว่าที่ดินรายพิพาทเป็นที่ดินของจำเลยตรงตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวนั้น

นายบุญช่วยเจ้าของที่ดินเดิม ซึ่งเป็นผู้ขายที่ดินให้แก่โจทก์และจำเลย ได้นำชี้เขตที่ดินในแผนที่วิวาทนั้นด้วยในฐานะที่เป็นจำเลยร่วมก็รับรองว่า ที่รายพิพาทหมายสีแดงอยู่ในเขตที่ที่ขายให้แก่จำเลย และนำชี้เขตที่ที่ขายให้แก่โจทก์ว่าอยู่ในวงเส้นประสีดำอันมีรูปทางด้านทิศตะวันตกเป็นเส้นตรง ส่วนที่โย้นั้นยื่นออกไปทางด้านทิศตะวันออกพยานยังให้การยืนยันว่าในวันทำสัญญาซื้อขายกันที่ดินตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือของที่ที่ขายกินเข้าไปในถนนหฤทัย โจทก์ก็ทราบเพราะกรมการอำเภอบอก นายบุญช่วย ปรีชานันท์เจ้าพนักงานผู้ไปทำการรังวัดที่ดินเมื่อนายบุญช่วยขายให้จำเลยยืนยันว่า ที่ดินของจำเลยเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามรูปแผนที่หลังหนังสือสัญญาซื้อขายนั้น และแม้แต่นายศักราชเจ้าพนักงานผู้ไปทำการรังวัดที่ดินให้ตอนนายบุญช่วยขายแก่โจทก์ ก็รับรองว่ารูปที่ของโจทก์เป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู โดยส่วนที่เป็นคางหมูยื่นออกไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นการรับรองเหตุผลดังได้วินิจฉัยในเรื่องรูปที่ดินของโจทก์และจำเลยมาแล้วข้างต้นนั้น

ที่ดินของโจทก์จำเลยนี้ เมื่อต่างซื้อมาจากเจ้าของเดิม มีห้องแถวปลูกอยู่แล้วทางตอนทิศใต้ และรับรองกันว่าต่างยินยอมถือฝาประจันห้องชั้นล่างระหว่างกันนั้นแหละเป็นแนวเขตตรงไปทางทิศเหนือเป็นเช่นนี้ ที่ดินรายพิพาทก็ต้องอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยที่ดินของโจทก์จะโย้ล้ำแนวเส้นตรงระดับฝาประจันห้องเข้าไปทางด้านทิศตะวันตกตามที่โจทก์นำชี้นั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้

อนึ่ง นายเจริญผู้รับมอบอำนาจของโจทก์เอง ให้การว่า ฝาห้องแถวที่สร้างใหม่นี้ ตีจากแนวฝาเดิมไปทางทิศเหนือ โดยร่นเว้าเข้าไปทางด้านทิศตะวันออกประมาณไม่ถึง 1 คืบ แต่เหตุไฉนจึงนำชี้ตามแผนที่วิวาทรุกล้ำเข้าไปทางด้านทิศตะวันตกถึง 1 ศอก 7 นิ้วเช่นนั้นไม่เห็นมีเหตุผลเป็นอื่น นอกจากมุมที่ของโจทก์ที่เป็นคางหมูยื่นออกไปทางด้านทิศตะวันออกถูกตัดหายไปเป็นถนนหฤทัยดังคำให้การของนายบุญช่วยจำเลยร่วมแล้ว โจทก์ต้องการเนื้อที่ความกว้างทางด้านทิศเหนือให้ได้เต็ม 4 วา 2 ศอก 12 นิ้ว ตามหนังสือสัญญาซื้อขายของโจทก์ก็ต้องนำชี้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเท่านั้นเอง

ด้วยเหตุผลทั้งหลายดังกล่าวมา ศาลฎีกาเห็นพ้องตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ที่รายพิพาทเป็นที่ดินของจำเลย หาใช่เป็นที่ดินของโจทก์ซึ่งอ้างว่าซื้อจากนายบุญช่วยมาดังฟ้องของโจทก์ไม่ เมื่อจำเลยทำการปลูกครัวในที่ดินของจำเลยเอง มิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ดังฟ้องแล้วโจทก์ก็ไม่มีอำนาจที่จะฟ้องจำเลยได้ อนึ่งแม้ถึงว่าชายคาห้องแถวของโจทก์ที่ปลูกสร้างขึ้นใหม่จะได้เกินจากแนวเขตที่ดินของโจทก์คร่อมลงไปในที่พิพาทบ้างดังที่ศาลชั้นต้นหยิบยกขึ้นวินิจฉัยไว้ ก็ไม่กระทำให้ที่ดินใต้ชายคาเป็นสิทธิแก่โจทก์ไปได้โดยทางครอบครอง เพราะการที่ชายคายื่นออกไปนั้นไม่ใช่สิทธิครอบครองที่ดินตามกฎหมาย

เหตุนี้ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาของโจทก์ และให้โจทก์เสียค่าทนายชั้นนี้แก่จำเลย 75 บาท

Share