คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4758-4760/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ต่างขับรถยนต์เฉี่ยวชนกันโดยประมาทเลินเล่อ ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลอนุญาตไปแล้ว ส่วนคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ผู้ทำละเมิด และจำเลยที่ 3 ในฐานะนายจ้างร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายครึ่งหนึ่ง ของค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ เพราะจำเลยที่ 2 มีความประมาท ไม่ยิ่งหย่อนกว่าจำเลยที่ 1 ดังนี้ การที่โจทก์ได้รับค่าเสียหายจากนายจ้างของจำเลยที่ 2 ไปแล้วก็เป็น เรื่องค่าเสียหายเฉพาะส่วนที่จำเลยที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์ หาได้ครอบคลุมไปถึงจำนวนค่าเสียหายในส่วนที่ จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยไม่ โจทก์ยังคงมีสิทธิ ที่จะเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลยที่ 1 ที่ 3 ได้

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องมีใจความว่า เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2521 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 ได้ขับขี่รถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน 1 จ.-7538 หมายเลขข้างรถ 99-858 ซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองด้วยความเร็วสูงไปตามถนนสายที่ 1 มุ่งหน้าไปยังจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อถึงระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 542-543 ซึ่งอยู่ในเขตตำบลสมปราบอำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง บริเวณนั้นเป็นทางโค้ง จำเลยที่ 1 ได้ขับรถแซงรถยนต์คันอื่นที่แล่นอยู่ข้างหน้า โดยความประมาทปราศจากความระมัดระวังจึงเฉี่ยวชนเข้ากับใบมีดของรถแทรกเตอร์ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยที่บรรทุกอยู่บนรถลากจูง ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับขี่แล่นสวนทางมาจากจังหวัดลำปางมุ่งหน้าไปจังหวัดตาก ใบมีดดังกล่าวยื่นล้ำตัวรถลากจูงออกมาทางด้านข้างทั้งสองด้านยาวประมาณข้างละ 1 ศอก เป็นเหตุให้ผู้โดยสารซึ่งโดยสารมาในรถถึงแก่ความตายหลายคน ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 รวมเป็นเงิน115,000 บาท โจทก์ที่ 4 ที่ 5 เป็นเงิน 155,000 บาท และโจทก์ที่ 6 ที่ 7 เป็นเงิน227,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินแต่ละสำนวนนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

ก่อนที่จำเลยทั้งสามสำนวนจะยื่นคำให้การ โจทก์ทั้งสามสำนวนขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทั้งสามสำนวนให้การมีใจความว่า เหตุที่เกิดรถชนกันขึ้นครั้งนี้เป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 1มิได้มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วย จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิด และจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องรับผิดด้วยเช่นกัน โจทก์ที่ 1 เสียหายไม่เกิน 10,000บาท โจทก์ที่ 2 ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายโดยอ้างสาเหตุจากความเศร้าโศกเสียใจค่าอุปการะเลี้ยงดูสำหรับโจทก์ที่ 3 ไม่เกินเดือนละ 100 บาท โจทก์ที่ 4 และที่ 5เสียหายรวมกันไม่เกิน 40,000 บาท โจทก์ที่ 6 เสียหายไม่เกิน 10,000 บาท และค่าอุปการะเลี้ยงดูสำหรับโจทก์ที่ 7 (เด็กหญิงจิราภรณ์ เด็กหญิงจริยา เด็กหญิงจิรายุส)ไม่เกินคนละ 100 บาทต่อเดือน ขอให้พิพากษายกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ให้เป็นพับ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้เงินให้แก่โจทก์ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 (เด็กหญิงจิราภรณ์ เด็กหญิงจริยา และเด็กหญิงจิรายุส)เป็นจำนวนเงิน 25,000 บาท, 37,500 บาท, 40,000 บาท, 7,500 บาท, 24,000 บาท,29,660 บาท และ 40,800 บาท ตามลำดับ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวและจำนวนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 1 และที่ 3 ทั้งสามสำนวนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 และที่ 3 ทั้งสามสำนวนฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่จำเลยฎีกาว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิตซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 2 ได้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทุกคนจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงไม่ควรที่โจทก์จะมาเรียกร้องเอากับจำเลยที่ 1 และที่ 3 อีกนั้น ได้ความว่า ค่าเสียหายที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ชดใช้แก่โจทก์ที่ 3 ถึงที่ 7 เพียงครึ่งหนึ่งของค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์ดังกล่าว เพราะจำเลยที่ 2 มีความประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่าจำเลยที่ 1 ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนประมาทอยู่ด้วยดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วข้างต้น โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1ผู้ทำละเมิดและจำเลยที่ 3 ในฐานะนายจ้างร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้การที่โจทก์ได้รับชดใช้ค่าเสียหายจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตนายจ้างของจำเลยที่ 2ไปแล้วนั้น หากความจริงจะเป็นดังที่จำเลยฎีกาก็เป็นเรื่องค่าเสียหายเฉพาะส่วนที่จำเลยที่ 2 ทำละเมิดต่อโจทก์ หาได้ครอบคลุมไปถึงจำนวนค่าเสียหายในส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยไม่ โจทก์จึงยังคงมีสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลยที่ 1 ที่ 3 ได้

พิพากษายืน

Share