คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3969/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล ศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวน จำเลยมิได้นำพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นตามที่อ้างไว้ในคำฟ้องอุทธรณ์ จึงมิใช่เรื่องการฉ้อฉลตามที่อ้าง ไม่เข้าเหตุที่จะอุทธรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้ยืมจำนวน 200,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 200,000 บาทก่อนวันนัดพิจารณา โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยตกลงยินยอมชำระหนี้เงินกู้รวมทั้งสิ้น 260,000 บาท ให้แก่โจทก์โดยนำมาวางต่อศาลภายในกำหนดสามวันนับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความหากจำเลยผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีโดยยอมรับผิดชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 260,000 บาท นับแต่วันผิดนัดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จสิ้นศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงในสำนวนยังไม่เพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีตามฎีกาโจทก์ได้ จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนพยานเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่จำเลยกล่าวอ้างในคำฟ้องอุทธรณ์และที่โจทก์กล่าวอ้างในคำแก้อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนตามคำสั่งศาลฎีกาในวันนัดไต่สวนจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มาศาลชั้นต้นสั่งงดไต่สวนพยานจำเลยคงไต่สวนพยานโจทก์แล้วส่งสำนวนให้ศาลฎีกาพิจารณา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งฉ้อฉล แต่เมื่อศาลฎีกาสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วจำเลยมิได้นำพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นตามที่อ้างไว้ในคำฟ้องอุทธรณ์ ฉะนั้นกรณีจึงไม่ใช่เรื่องที่มีการฉ้อฉลตามที่อ้าง ไม่เข้าเหตุที่จะอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138(1) ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมาจึงเป็นการไม่ชอบ”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share