คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เหตุรถชนเกิดขึ้นจากรถยนต์ของโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลทั้งสองฝ่ายแล่นชนกัน จึงมิใช่กรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 437 โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาท เพราะโจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างแข่งกับรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่งด้วยความประมาทใช้ความเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 1 ขับชนท้ายรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวที่แล่นมาหยุดต่อท้ายรถยนต์บรรทุกของโจทก์ซึ่งติดการจราจรอยู่และกระเด็นมาชนท้ายรถยนต์ของโจทก์ และรถยนต์ของโจทก์ไถลไปชนรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่งที่จอดอยู่ด้านหน้า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์จะได้รับประโยชน์แห่งข้อสันนิษฐานของกฎหมายต่อเมื่อฝ่ายโจทก์จะต้องมิใช่เป็นผู้ที่ครอบครองหรือควบคุมยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล เมื่อคดีนี้เกิดขึ้นจากรถยนต์ซึ่งกำลังแล่นชนกัน เป็นยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลทั้งสองฝ่าย จึงมิใช่กรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 437 โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทเพราะโจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84… เมื่อพยานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share