คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นกำหนดวันเวลานัดสืบพยานโจทก์และทนายจำเลยได้ทราบกำหนดนัดแล้ว ครั้นถึงวันนัดทนายจำเลยไม่ไปศาลตามกำหนดนัดการที่ทนายจำเลยอ้างว่าเดินทางไปต่างจังหวัดและเกิดท้องเดินต้องรักษาตัวที่คลีนิกของแพทย์ที่ต่างจังหวัดจนถึงวันนัดสืบพยานโจทก์อาการดีขึ้นจึงเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ในวันรุ่งขึ้นมาปฏิบัติราชการได้ตรวจสมุดนัดความจึงทราบว่าไม่ได้มาศาลในวันสืบพยานนั้นแม้เหตุดังกล่าวจะเป็นความจริงดังที่ทนายจำเลยอ้างก็ตามทนายจำเลยก็เป็นพนักงานอัยการย่อมรู้กฎหมายและกระบวนวิธีพิจารณาคดีของศาลดีว่า ความสำคัญของผลคดีที่ขาดนัดพิจารณานั้นเป็นอย่างไร เมื่อทนายจำเลยเองทราบว่าในเข้าวันนัดสืบพยานโจทก์นั้น ตนเองมาปฏิบัติราชการไม่ได้ก็น่าจะขวนขวายดำเนินการโทรศัพท์ถามไปยังจำเลยตัวความ หรือโทรศัพท์ไปยังผู้บังคับบัญชาให้ช่วยตรวจสอบว่า มีคดีที่ตนรับผิดชอบนัดพิจารณาในวันนั้นหรือไม่เพื่อจะได้ดำเนินการขอเลื่อนหรือแก้ไขต่อไป แต่ทนายจำเลยก็หาได้กระทำไม่ ทั้งได้ความจากทนายจำเลยเองว่า ที่คลินิกที่ทนายจำเลยพักรักษาตัวอยู่นั้นก็มีโทรศัพท์แต่ทนายจำเลยไม่ได้โทรศัพท์แจ้งให้ทางที่ทำงานทราบ นอกจากนี้ยังได้ความอีกว่า ทนายจำเลยไม่ได้คิดเรื่องงานเลย ประกอบกับเมื่อทนายจำเลยทราบวันเวลานัดในวันรุ่งขึ้นแล้ว ทนายจำเลยน่าจะกระตือรือร้นรีบยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่โดยเร็ว แต่กลับปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปประมาณ 25 วันทนายจำเลยมีหน้าที่ต้องเอาใจใส่ในการต่อสู้คดีของตัวความการที่ทนายจำเลยไม่ขวนขวายดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งและปล่อยปละละเลยดังกล่าวมา จึงเป็นการไม่เอาใจใส่ในหน้าที่และเป็นความบกพร่องของทนายจำเลยเอง กรณีเช่นนี้ต้องถือว่าการขาดนัดพิจารณาของจำเลยเป็นไปโดยจงใจไม่มีเหตุอันสมควร

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยชำระเงินค่าซื้อเครื่องสูบน้ำดับเพลิงให้โจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายโดยส่งมอบเครื่องสูบน้ำล่าช้ากว่ากำหนดและฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระเงินค่าปรับในฐานผิดสัญญา โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์มิได้ผิดสัญญาและฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุมในวันสืบพยานโจทก์นัดแรกจำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา และพิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวโดยพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 110,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ว่า เหตุที่ทนายจำเลยไม่มาศาลในวันสืบพยานเนื่องจากทนายจำเลยได้เดินทางไปต่างจังหวัดก่อนที่จะเดินทางกลับได้เกิดป่วยต้องพักรักษาตัว ไม่อาจเดินทางกลับมาได้ทัน ส่วนทนายจำเลยอีกคนหนึ่งนั้นได้ย้ายไปรับราชการที่อื่นแล้ว จำเลยไม่ได้จงใจขาดนัดพิจารณา ถ้าหากจำเลยได้นำพยานหลักฐานเข้าสืบแล้วจำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดี ขอให้ศาลมีคำสั่งไต่สวนคำร้องและพิจารณาคดีใหม่
โจทก์คัดค้าน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2533 เวลา 13.30 นาฬิกา และทนายจำเลยได้ทราบกำหนดนัดวันสืบพยานโจทก์แล้ว การที่ทนายจำเลยอ้างว่าเดินทางไปจังหวัดเพชรบูรณ์ในวันเสาร์ที่ 20 มกราคม 2533 ต่อมาวันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม 2533 ได้เดินทางจากจังหวัดเพชรบูรณ์ไปที่สถานีรถไฟตะพานหิน เพื่อจะโดยสารรถไฟกลับกรุงเทพมหานครทนายจำเลยเกิดท้องเดินต้องไปพักรักษาตัวที่คลีนิกของนายแพทย์สุขวัฒน์ ทัศนเอกจิต ซึ่งอยู่ที่หน้าตลาดเทศบาลเมืองพิจิตรจนถึงวันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2533 เวลา 14 นาฬิกา อาการดีขึ้นจึงเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 23 มกราคม 2533 มาปฏิบัติราชการได้ตรวจสมุดนัดความจึงทราบว่าไม่ได้มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์นั้นเห็นว่า แม้เหตุดังกล่าวจะเป็นความจริงดังที่ทนายจำเลยอ้างก็ตาม ทนายจำเลยก็เป็นพนักงานอัยการย่อมรู้กฎหมายและกระบวนวิธีพิจารณาคดีของศาลดีว่า ความสำคัญของผลคดีที่ขาดนัดพิจารณานั้นเป็นอย่างไร เมื่อทนายจำเลยเองทราบว่าในเช้าวันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2533 ตนเองมาปฏิบัติราชการไม่ได้ก็น่าจะขวนขวายดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น โทรศัพท์ถามไปยังจำเลยตัวความ หรือโทรศัพท์ไปยังหัวหน้าพนักงานอัยการกองคดีแพ่ง(กอง 5) ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาให้ช่วยตรวจสอบว่า มีคดีที่ตนรับผิดชอบนัดพิจารณาในวันนั้นหรือไม่ เพื่อจะได้ดำเนินการขอเลื่อนหรือแก้ไขต่อไป แต่ทนายจำเลยก็หาได้กระทำอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ทั้งที่ได้ความจากคำเบิกความของทนายจำเลยเองว่า ที่คลีนิกที่ทนายจำเลยพักรักษาตัวอยู่นั้นก็มีโทรศัพท์แต่ทนายจำเลยไม่ได้โทรศัพท์แจ้งให้ทางที่ทำงานทราบ นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของทนายจำเลยอีกว่า ทนายจำเลยไม่ได้คิดเรื่องงานเลย ประกอบกับเมื่อทนายจำเลยทราบวันเวลานัดในวันที่ 23 มกราคม 2533 แล้วทนายจำเลยน่าจะกระตือรือร้นรีบยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่โดยเร็ว แต่กลับปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปประมาณ 25 วัน ทนายจำเลยมีหน้าที่ต้องเอาใจใส่ในการต่อสู้คดีของตัวความ การที่ทนายจำเลยไม่ขวนขวายดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งและปล่อยปละละเลยดังกล่าวมา จึงเป็นการไม่เอาใจใส่ในหน้าที่และเป็นความบกพร่องของทนายจำเลยเองกรณีเช่นนี้ต้องถือว่าการขาดนัดพิจารณาของจำเลยเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควรเพราะมิฉะนั้นแล้วก็จะยกขึ้นเป็นข้ออ้างเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ได้เสมอ
พิพากษายืน

Share