แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สัญญาค้ำประกันทำขึ้นขณะที่บัญชีอัตราอากรแสตมป์กำหนดให้ปิดอากรแสตมป์ 1 บาท แม้ภายหลังกฎหมายจะกำหนดให้ปิดอากรแสตมป์10 บาท สัญญาค้ำประกันที่ปิดอากรแสตมป์ 1 บาท นั้นก็ยังใช้ได้ไม่ต้องห้ามใช้เป็นพยานหลักฐานคดีแพ่งตาม ป.รัษฎากร มาตรา 118 โจทก์ฟ้องว่า ส. พนักงานของโจทก์ทุจริตเบียดบังเอาเงินของโจทก์เป็นประโยชน์ส่วนตัวแล้วหลบหนี เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเป็นความผิด มีโทษตาม ป.อ. มาตรา 352 ซึ่งมีอายุความ10 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 95(3) กำหนดอายุความทางอาญาจึงยาวกว่าอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคแรก ที่กำหนดไว้เพียง 1 ปีจึงต้องเอาอายุความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 448วรรคสอง การที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันในมูลหนี้ละเมิดที่ ส. ก่อขึ้น จึงใช้กำหนดอายุความ 10 ปี จำเลยจะยกอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคแรกซึ่งเป็นข้อต่อสู้ของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้โจทก์โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งป.พ.พ. มาตรา 694 หาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายสำเริง เอี่ยมประเสริฐ สมัครเข้าทำงานเป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์ว่าหากนายสำเริงซึ่งทำงานอยู่กับโจทก์ ทำความเสียหายต่อโจทก์ไม่ว่ากรณีใด ๆ จำเลยทั้งสองยอมชดใช้ค่าเสียหายแทนนายสำเริง โดยโจทก์ไม่ต้องเรียกร้องให้นายสำเริงชำระหนี้ก่อน นายสำเริงได้ทุจริตนำเงินสดซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวไม่นำเงินเข้าบัญชีของโจทก์ โจทก์ทวงถามนายสำเริงแล้ว นายสำเริงเพิกเฉยโจทก์จึงทวงถามจำเลยทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันร่วมให้ชดใช้ความเสียหาย จำเลยทั้งสองขอผ่อนชำระ โจทก์ไม่ยอมจึงฟ้อง ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 559,444.19 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยทำสัญญาคำ้ประกันไว้กับโจทก์ ลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันเป็นลายมือชื่อปลอม นายสำเริงไม่เคยทำละเมิดใด ๆ ต่อโจทก์ให้โจทก์เสียหาย โจทก์ไม่ได้ฟ้องตามหนังสือรับสภาพหนี้อันเกิดจากมูลละเมิดภายใน 1 ปี คดีจึงขาดอายุความจำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม มิได้แสดงโดยชัดแจ้งว่า นายสำเริงยักยอกเงินไปตั้งแต่เมื่อไหรจำนวนกี่ครั้ง แต่ละครั้งจำนวนเท่าไร คณะกรรมการสอบสวนได้รายงานให้โจทก์ทราบเมื่อไหร่ เช็คที่นายสำเริงเก็บมานั้นเป็นเช็คธนาคารอะไร จำนวนเงินเท่าไร เรียกเก็บเงินได้ทั้งหมดหรือไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบต่อสู้คดีไม่ถูก จำเลยทั้งสองขอชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมรับชำระ จำเลยทั้งสองจึงหลุดพ้นจากความรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 550,400 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า สัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.5 ปิดอากรแสตมป์เพียง 1 บาท ไม่ชอบเพราะตามกฎหมายกำหนดให้ปิดอากรแสตมป์ 10 บาท จึงต้องห้ามรับฟังเอกสารดังกล่าวตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 นั้น เห็นว่า สัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.5 ทำเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2522 ซึ่งบัญชีอัตราอากรแสตมป์ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น กำหนดให้ปิดอากรแสตมป์เพียง1 บาท หาใช่ 10 บาท ดังที่จำเลยทั้งสองเข้าใจไม่ สัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.5 จึงไม่ต้องห้ามใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118
จำเลยทั้งสองฎีกาในข้อสุดท้ายว่า โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ถึงตัวผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในวันที่ 7 มีนาคม 2527โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2528 คดีโจทก์จึงขาดอายุความนั้นเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยแสดงสภาพแห่งข้อหาว่านายสำเริงพนักงานของโจทก์ได้กระทำการทุจริตเบียดบังเอาเงินของโจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเป็นเงิน 322,928.16 บาท แล้วได้หลบหนีไป โจทก์ได้แจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภออรัญประเทศ เมื่อวันที่7 มีนาคม 2527 เพื่อให้จับนายสำเริงมาดำเนินคดีตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีท้ายฟ้อง นอกจากนี้คณะกรรมการสอบสวนยังตรวจพบว่านายสำเริงได้ทุจริตนำเงินสดของโจทก์ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของนายสำเริงไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวอีก 236,516.03 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นที่นายสำเริงทุจริตเบียดบังเอาเงินของโจทก์ไป 559,444.19บาท เป็นการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเป็นความผิดมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี จึงมีอายุความที่จะต้องฟ้องและได้ตัวผู้กระทำผิดมายังศาลภายใน 10 ปี นับแต่วันกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3)กำหนดอายุความทางอาญาจึงยาวกว่าอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก ที่กำหนดไว้เพียง1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงต้องเอาอายุความที่ยาวกว่านั้นมาบังคับตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง บัญญัติไว้จะนำอายุความ 1 ปี ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรกมาบังคับหาได้ไม่ ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องนายสำเริงได้ภายใน10 ปี นับแต่วันที่นายสำเริงกระทำผิดเบียดบังเอาเงินของโจทก์ไปโดยทุจริต นายสำเริงได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงานบัญชี มีหน้าที่เก็บเงินค่ากระแสไฟฟ้า เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2523 ต่อมาเมื่อปีพ.ศ. 2527 พนักงานของโจทก์ตรวจพบว่า นายสำเริงเบียดบังเอาเงินของโจทก์ไปโดยทุจริต ดังนี้จึงเห็นได้ว่า ตามคำฟ้องโจทก์กล่าวหาว่านายสำเริงกระทำผิดยักยอกเอาเงินของโจทก์ไปในระหวางวันที่ 3 มีนาคม2523 ถึง พ.ศ. 2527 เมื่อนับแต่วันที่ 3 มีนาคม 2523 ถึงวันที่8 กรกฎาคม 2528 ที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันในมูลหนี้ละเมิดอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาที่นายสำเริงก่อขึ้นแทนนายสำเริงจึงยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความในการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนายสำเริง ฉะนั้นการที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน แต่จำเลยทั้งสองได้ยกอายุความ1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก ซึ่งเป็นข้อต่อสู้ของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ โดยอาศัยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694 ที่ให้สิทธิผู้ค้ำประกันยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ด้วยจึงฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.