คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8405/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 และที่ 2 จัดสรรที่ดินโดยมีเจตนาจะจัดให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 เป็นถนนอันเป็นสาธารณูปโภคจึงเป็นการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286มาแต่ต้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 ก่อนมีการรังวัดเพื่อรวมและแบ่งแยกโฉนดจึงเป็นถนนที่เป็นทางภารจำยอมตามประกาศ ของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว ข้อ 30 เมื่อการรวมกรรมสิทธิ์ และการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดดังกล่าวมีผลทำให้ เนื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 ส่วนที่เป็นถนนอยู่เดิมขาดหายไป เป็นการทำให้ภารจำยอมเปลี่ยนแปลงไปและเป็นการ กระทบถึงสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการรวมที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 เข้ากับที่ดินแปลงอื่น และขอให้เพิกถอนการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 เฉพาะส่วนที่นำมารวมกับที่ดินแปลงย่อย 7 แปลง และกลายเป็นที่ดินแปลงใหม่โฉนดเลขที่ 106708 ได้ ในคดีส่วนอาญา โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ว่าร่วมกับจำเลยที่ 3 ในคดีดังกล่าวสนับสนุนจำเลยอื่นในคดีนั้นอีก 6 คน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประเด็นที่จะต้อง วินิจฉัยในคดีนั้นจึงมีว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 ในคดีดังกล่าวสนับสนุนให้จำเลยอื่นกระทำความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ ข้อเท็จจริง ที่นำไปสู่การวินิจฉัยว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 ที่เป็นถนน เป็นทางภารจำยอมหรือไม่นั้นจึงไม่ใช่ประเด็นโดยตรง ในคดีดังกล่าว การพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีแพ่งไม่จำต้อง ถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีดังกล่าว ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันเพิกถอนหรือยกเลิกการรวมที่ดินโฉนดเลขที่ 106708 ถึง 106714 กับที่ดินโฉนดเลขที่ 6534และการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 ออกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 106708เสีย และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันแก้ไขสารบัญทางทะเบียนของที่ดินทั้ง 8 โฉนด ดังกล่าวให้คงสภาพเดิมเหมือนก่อนการรวมโฉนดและแบ่งแยกโฉนดในนามเดิม หากจำเลยทั้งสามไม่ยอมปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม ห้ามจำเลยที่ 1 และที่ 2แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 เนื้อที่ดิน 3 งาน 58 ตารางวาอันเป็นทรัพย์ภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรของโครงการ 2ศรีอัมพรดูเพลกซ์ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันรื้อถอนศาลพระภูมิ 2 หลัง กระถางต้นไม้ก่อด้วยอิฐและซุ้มประตูทางเข้าออกอาคารชุด “แบชเล่อร์คอนโดมิเนียม” ซึ่งก่อสร้างอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 กับรั้วอิฐบล็อกตลอดจนบรรดาสิ่งปลูกสร้างที่ขวางกั้นอยู่ทางด้านทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 106715 ของโจทก์และปรับปรุงแก้ไขกลับคืนสู่สภาพเดิมด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยหากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามก็ขอให้โจทก์เป็นผู้ทำการรื้อถอนแทนโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการรวมที่ดินโฉนดเลขที่ 6534ซึ่งเป็นถนนสาธารณูปโภคของที่ดินจัดสรรโครงการ 2 ศรีอัมพรดูเพลกซ์เข้ากับที่ดินโฉนดเลขที่ 106708 ถึง 106714 ของจำเลยที่ 1 และที่ 2และเพิกถอนการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 เฉพาะส่วนที่นำมารวมกับที่ดินแปลงย่อย 7 แปลงดังกล่าวข้างต้นซึ่งกลายเป็นที่ดินแปลงใหม่โฉนดเลขที่ 106708 นั้นเสีย และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันดำเนินการแก้ไขสารบัญทางทะเบียนของที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 ให้กลับมาคงสภาพเดิมและมีเนื้อที่เท่าเดิมก่อนการรวมและแบ่งแยก หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสามให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันรื้อถอนศาลพระภูมิ 2 หลังกระถางต้นไม้ก่อด้วยอิฐ ซุ้มประตูทางเข้าออกอาคารชุด”แบชเล่อร์ คอนโดมิเนียม” และสิ่งปลูกสร้างอื่นใดซึ่งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 ในส่วนที่เป็นถนน กับให้รื้อถอนรั้วอิฐบล็อกและสิ่งขวางกั้นทางด้านทิศเหนือของที่ดินโฉนดเลขที่ 106715 ของโจทก์และทำพื้นที่ดังกล่าวกลับสู่สภาพเดิมโดยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 1และที่ 2 คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2523 โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 106715และ 106716 จากจำเลยที่ 1 และที่ 2 และเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน2524 โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 106717 และ 106718 จากจำเลยที่ 1และที่ 2 ที่ดินโฉนดเลขที่ 106715 ของโจทก์ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 และที่ดินโฉนดเลขที่ 106708ของจำเลยที่ 1 ที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 มีเนื้อที่ 3 งาน 58 ตารางวาซึ่งเป็นที่ดินส่วนที่เป็นถนนตามแผ่นโฆษณาเอกสารหมาย จ.8เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2524 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องขอรวมโฉนดและแบ่งแยกในนามเดิม คือรวมที่ดินโฉนดเลขที่ 6534เข้ากับที่ดินโฉนดเลขที่ 106708 ถึง 106714 รวม 8 แปลง แล้วแบ่งออกเป็น 2 แปลง ในนามเดิม วันที่ 14 ถึง 16 กันยายน 2524 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 3 ได้ออกไปทำการรังวัดตามคำขอของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อมาวันที่ 23 ธันวาคม 2524 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 3 ได้ออกโฉนดฉบับใหม่ซึ่งรวมเนื้อที่ดินทั้ง 8 แปลงดังกล่าวเข้าด้วยกันเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 6534มีเนื้อที่รวมทั้งสิ้น 1 ไร่ 70 ตารางวา วันที่ 11 มกราคม 2525 ได้แบ่งแยกที่ดินจากโฉนดเลขที่ 6534 ออกไป 1 งาน 42 ตารางวา โดยออกเป็นโฉนดเลขที่ 106708 ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 คงเหลือเนื้อที่ 3 งาน 28 ตารางวา ซึ่งมีเนื้อที่น้อยกว่าโฉนดเลขที่ 6534 เดิมก่อนที่จะมีการรวมและแบ่งแยกโฉนด จำนวน 30 ตารางวา ในระหว่างการรวมโฉนดและแบ่งแยกตามคำขอของจำเลยที่ 1 และที่ 2 อยู่นั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2ได้ยื่นคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินต่อคณะกรรมการควบคุมการจัดสรรที่ดินเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2524 และในปี 2525 จำเลยที่ 1 และที่ 2ได้ใช้ที่ดินโฉนดเลขที่ 106708 ใหม่ปลูกสร้างอาคาร 4 ชั้นแล้วจดทะเบียนเป็นอาคารชุดชื่อ แบชเล่อร์ คอนโดมิเนียมสร้างศาลพระภูมิ ซุ้มประตู และยกระดับถนนคล้ายกับทางเข้าออกอาคารชุดดังกล่าว ต่อมาวันที่ 13 มีนาคม 2528 คณะกรรมการควบคุมการจัดสรรที่ดินได้มีมติอนุมัติให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ทำการจัดสรรที่ดินได้ตามขอ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่จำเลยที่ 1และที่ 2 ขอรวมและแบ่งแยกโฉนดที่ดิน และพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 3 ดำเนินการรังวัด รวมและแบ่งแยกโฉนดที่ดินตามฟ้องเป็นการกระทำที่ไม่ชอบเพราะที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 ตกอยู่ในภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินจัดสรรตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286เรื่องควบคุมการจัดสรรที่ดิน จำเลยทั้งสามจะทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงถนนอันเป็นสาธารณูปโภคหรือให้ประโยชน์แห่งภารจำยอมลดลงไปไม่ได้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีสิทธิจะขอรวมและแบ่งแยกโฉนด และพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 3 ก็ไม่มีสิทธิที่จะดำเนินการรวมและแบ่งแยกโฉนดตามขอหรือไม่ เห็นว่า ตามแผ่นโฆษณาการจัดสรรที่ดินโครงการ 2ศรีอัมพรดูเพลกซ์ เอกสารหมาย จ.8 ของจำเลยที่ 1 ที่ 2มีรูปแผนผังที่ดินที่จัดสรรปรากฏชัดเจนว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 6534มีเนื้อที่ 3 งาน 58 ตารางวา เป็นที่ดินส่วนที่เป็นถนน ต่อมาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ยื่นคำขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดินต่อคณะกรรมการควบคุมการจัดสรร เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2524และต่อมาถึงได้รับอนุญาตให้จัดสรร ซึ่งเป็นการแสดงออกโดยปริยายแล้วว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 จัดสรรที่ดินโดยมีเจตนาจะจัดให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 เป็นถนนอันเป็นสาธารณูปโภคจึงเป็นการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 มาแต่ต้น ฉะนั้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 ก่อนมีการรังวัดเพื่อรวมและแบ่งแยกโฉนดจึงเป็นถนนที่เป็นทางภารจำยอม ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว ข้อ 30 เมื่อการรวมกรรมสิทธิ์และการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดดังกล่าวมีผลทำให้เนื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 ส่วนที่เป็นถนนอยู่เดิมขาดหายไป จึงเป็นการทำให้ภารจำยอมเปลี่ยนแปลงไปและเป็นการกระทบถึงสิทธิของโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการรวมที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 เข้ากับที่ดินโฉนดเลขที่ 106708 ถึง 106714และขอให้เพิกถอนการแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 เฉพาะส่วนที่นำมารวมกับที่ดินแปลงย่อย 7 แปลง และกลายเป็นที่ดินแปลงใหม่โฉนดเลขที่ 106708 ได้ ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3644/2536 นั้น ปรากฏว่าในคดีดังกล่าวโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ว่าร่วมกับจำเลยที่ 3 ในคดีดังกล่าวสนับสนุนจำเลยอื่นในคดีนั้นอีก 6 คน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในคดีนั้นจึงมีว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกับจำเลยที่ 3 ในคดีดังกล่าวสนับสนุนให้จำเลยอื่นกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือไม่ ข้อเท็จจริงที่นำไปสู่การวินิจฉัยว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 6534 ที่เป็นถนนเป็นทางภารจำยอมหรือไม่นั้น จึงไม่ใช่ประเด็นโดยตรงในคดีดังกล่าว การพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีแพ่งไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share