คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3953/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นข้าราชการพลเรือนสังกัดมหาวิทยาลัย ร. มีหน้าที่ปฏิบัติงานช่าง เขียนแบบและปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ได้รับมอบหมายจำเลยได้รับแต่ง ตั้งจากมหาวิทยาลัยให้มีหน้าที่ควบคุมและตรวจงานก่อสร้างที่พักสำหรับนักศึกษา แล้วรายงานผลให้ประธานกรรมการตรวจการจ้างทราบ ซึ่งจำเลยอาจรายงานในทางให้คุณหรือให้โทษโดยเกี่ยงงอน ว่างานงวดสุดท้ายที่จำเลยเรียกร้องเงินจาก พ. ตัวแทนของผู้รับจ้างในการที่จำเลยจะลงนามตรวจผ่านให้นั้นยังไม่แล้วเสร็จบริบูรณ์ตามสัญญาจ้างก็ได้จึงถือได้ว่า จำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบจูงใจเพื่อให้ พ. ให้เงินดังกล่าวแก่จำเลย อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 148 แล้ว แม้จำเลยจะอ้างว่าเรียกร้องให้ผู้อื่นและได้มีการส่งมอบเงินให้จำเลยหลังจากที่คณะกรรมการตรวจการจ้างตรวจรับงานไว้แล้วก็ตาม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 4
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 4 จำคุก 5 ปี คืนธนบัตรของกลางให้เจ้าของ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาในศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าบริษัทจุฬาวิศวกรรม จำกัด…ทำสัญญารับเหมาก่อสร้างที่พักนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้แต่งตั้งจำเลยและนายจิระพงษ์ ไว้ปรีชี…เป็นผู้ควบคุมและรายงานผลการก่อสร้างให้ประธานกรรมการตรวจการจ้างงานทราบทุกสัปดาห์…วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2523 บริษัทจุฬาวิศวกรรม จำกัด ส่งมอบงาน…งวดสุดท้าย จำเลยได้เสนอรายงานต่อคณะกรรมการตรวจการจ้างว่างานเรียบร้อย วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2523 คณะกรรมการตรวจการจ้างตรวจรับงาน ต่อมามหาวิทยาลัยรามคำแหงจ่ายเงินค่าจ้างให้เป็นเช็คในวันที่ 5 มีนาคม 2523 บริษัทจุฬาวิศวกรรม จำกัด รับเงินค่าจ้างตามเช็คได้ วันที่ 7 มีนาคม 2523 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยและยึดธนบัตรของกลางได้จากโต๊ะของจำเลย…ปัญหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ “…โจทก์มีนายพิภพ พัชรพรรณสุกลเบิกความว่เมื่อส่งงานก่อสร้างงวดที่ 1 และงวดที่ 2 จำเลยเรียกร้องเงินเป็นค่าตอบแทนในการที่จะเซ็นอนุมัติผ่านการตรวจงานงวดละ2,200 บาท สำหรับงานงวดที่ 3 ซึ่งส่งงานเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์2523 จำเลยสั่งให้นายบุญสม ตั้งใจธรรมโชติ บอกพยานว่างานเสร็จแล้วงวดนี้อยากได้เงินก้อนใหญ่ วันที่ 5 มีนาคม 2523 พยานไปพบจำเลยจำเลยบอกว่า อยากได้เงินก้อนใหญ่จำนวน 14,000 บาท เพื่อนำไปให้ผู้บังคับบัญชา เมื่อพยานบอกว่างานก่อสร้างราคาต่ำไม่สามารถให้เงินจำเลยได้ จำเลยก็ว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจะไม่เซ็นผ่านงานให้พยานจึงตกลงและนัดจะนำเงินไปให้จำเลยในวันที่ 7 มีนาคม 2523แต่พยานปรึกษานายเรวัต มานะจิตต์ แล้ว เห็นว่าเคยให้เงินจำเลยไปหลายครั้งยังมาเรียกร้องเงินอีก พยานจึงตกลงแจ้งความและวางแผนจับกุม ซึ่งนายเรวัตเบิกความว่า เมื่อนายพิภพนำความมาปรึกษาเจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่ก็ได้รับคำแนะนำให้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจท้องที่ และมีพันตำรวจตรีมนัส นาถนิติธาดาเบิกความสนับสนุนว่า ได้รับคำสั่งจากพันตำรวจเอกชัยสิทธิ์กาญจนกิจ ว่าพลตำรวจตรีโสภณ ศีตจิตต์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาลเหนือให้ดำเนินคดีเรื่องนี้ เมื่อได้รับแจ้งความจากนายพิภพ จึงได้วางแผนจับกุมจำเลย และร้อยตำรวจโทสุทธินาถ สุดยอด กับจ่าสิบตำรวจทวีศักดิ์ อ้นชัยยะ เบิกความว่าจับกุมจำเลยได้พร้อมกับธนบัตรที่นายพิภพนำไปมอบให้จำเลยเป็นของกลาง เห็นว่าแม้โจทก์จะไม่ได้ตัวนายบุญสมมาเบิกความ แต่ก็ได้ความจากคำให้การชั้นสอบสวนของนายบุญสมว่า ในวันที่ 15 หรือ 16 กุมภาพันธ์ 2523 นายบุญสมส่งมอบงานงวดที่ 3 จำเลยรับหนังสือมอบงานแล้วได้บอกว่างวดนี้เป็นงานงวดสุดท้าย ขอเงินก้อนใหญ่หน่อยเป็นเลข 5 ตัว นายบุญสมเห็นว่าเป็นเงินจำนวนมาก จึงบอกว่าจะให้นายพิภพมาพบจำเลย การที่นายพิภพนำเงินของกลางไปให้จำเลย ย่อมแสดงว่าได้มีการเรียกร้องเพราะไม่มีเหตุที่นายพิภพจะต้องให้เงินจำเลย หากจะให้โดยเสน่หาเพื่อตอบแทนในการที่จำเลยให้ความสะดวกในการตรวจผ่านงานก่อสร้างให้ ก็คงจะไม่แจ้งให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีกับจำเลย ทั้งนายพิภพก็มีอาชีพเป็นข้าราชการและประกอบธุรกิจรับเหมางานก่อสร้างด้วย หากไม่มีการเรียกร้องเงินให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนแล้วย่อมจะไม่คิดดำเนินคดีให้เป็นเรื่องยุ่งยากแก่ตนเองและเป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจต่อไป ไม่มีเหตุที่น่าระแวงว่านายพิภพจะแกล้งสร้างเรื่องขึ้นกลั่นแกล้งกล่าวหาจำเลย และเจ้าพนักงานตำรวจก็ยึดธนบัตรของกลางที่นายพิภพส่งมอบให้ำจเลยได้จากโต๊ะของจำเลย จึงฟังได้ว่าจำเลยเรียกร้องเงินจำนวน 14,000 บาทจากนายพิภพปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจหรือจูงใจให้นายพิภพให้เงินดังกล่าวแก่จำเลยหรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความว่า การส่งงานก่อสร้างงวดก่อน ๆ จำเลยก็เรียกร้องเงินจากนายพิภพเพื่อจะเซ็นตรวจผ่านงานงวดนั้น ๆ ให้ซึ่งนายพิภพก็ยอมให้จำเลย การเรียกร้องเงินคราวนี้ก็มีเหตุสืบเนื่องมาจากการตรวจงานก่อนเสนอคณะกรรมการตรวจการจ้างเช่นเดียวกับงานงวดก่อน ๆ โดยมีการเรียกร้องมาตั้งแต่วันที่ส่งมอบงานงวดที่ 3แม้จำเลยจะมิได้เป็นกรรมการตรวจการจ้าง แต่จำเลยก็ได้รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างและตรวจงานโดยใกล้ชิด แล้วรายงานผลให้ประธานกรรมการตรวจการจ้างทราบซึ่งจำเลยอาจรายงานในทางให้คุณหรือให้โทษ โดยเกี่ยวงอนว่างานงวดสุดท้ายนั้นยังไม่แล้วเสร็จบริบูรณ์ตามสัญญาจ้างก็ได้ กรณีดังกล่าวถือได้ว่า จำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ จูงใจเพื่อให้นายพิภพให้เงินดังกล่าวแก่จำเลยแม้จะอ้างว่าเรียกร้องให้ผู้อื่นและได้ส่งมอบเงินให้จำเลยหลังจากที่คณะกรรมการตรวจการจ้างตรวจรับงานไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อจำเลยเรียกร้องเงินไว้ก่อนตั้งแต่ได้มีหนังสือส่งมอบงาน ซึ่งเพียงแต่จำเลยมีเจตนาให้ส่งมอบทรัพย์สินให้ก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148ตามฟ้อง ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share