คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 223/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยท้ากันให้ส่งเอกสารรวม 5 ฉบับไปพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือที่กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ถ้าผลการพิสูจน์น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์แม้แต่ลายพิมพ์หนึ่งลายพิมพ์ใด โจทก์ยอมแพ้คดี แต่ถ้าผลปรากฏว่าไม่น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์แล้ว จำเลยยอมแพ้คดี ครั้นกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจตรวจพิสูจน์แล้ว ลงความเห็นว่า เอกสาร 4 ฉบับ ไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ ส่วนอีกฉบับหนึ่งเลอะเลือน ไม่อาจตรวจลงความเห็นได้ ดังนี้ ย่อมไม่ครบถ้วนตรงตามคำท้าของฝ่ายจำเลยที่ว่า จะถือว่าจำเลยแพ้คดีก็ต่อเมื่อไม่น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ทั้งหมดเท่านั้น แม้เอกสารฉบับที่ 5 ที่พิสูจน์ไม่ได้จะเป็นคู่ฉบับของเอกสารฉบับที่ 1 ก็ตาม ก็จะพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีไม่ได้ เพราะไม่ตรงตามคำท้าที่โจทก์จำเลยตกลงกัน กรณีเช่นนี้คำท้าของโจทก์จำเลยย่อมเป็นอันตกไป และศาลต้องดำเนินการพิจารณาต่อไปตามรูปคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่นาพิพาทตาม ส.ค.๑ จำเลยได้ปลอมลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ลงในคำร้องขอจดทะเบียนยกที่รายนี้ให้จำเลย นายอำเภอหลงเชื่อออก น.ส.๓ และจดทะเบียนโอนสิทธิให้จำเลย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และเพิกถอน น.ส.๓
จำเลยให้การว่า โจทก์ไปขอออก น.ส.๓ และยกให้เป็นของจำเลย ไม่มีการปลอมแปลงลายพิมพ์นิ้วมือ
ในชั้นพิจารณา โจทก์จำเลยตกลงท้ากันให้ส่งเอกสารที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนยกให้รวม ๕ ฉบับไปพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือที่กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ถ้าผลการพิสูจน์น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์จริงแม้แต่ลายพิมพ์หนึ่งลายพิมพ์ใด โจทก์จะยอมแพ้คดี แต่ถ้าหากผลปรากฏว่าไม่เชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ทั้งหมดแล้ว จำเลยยอมแพ้คดี
กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ พิสูจน์แล้ว ลงความเห็นว่าเอกสาร ๔ ฉบับ ไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ ส่วนอีกฉบับหนึ่งไม่สามารถพิสูจน์ลงความเห็นได้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยแพ้คดีตามคำท้า พิพากษาให้ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และเพิกถอน น.สฦ.๓
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อพิเคราะห์ประเด็นคำท้าที่ปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่อ้างถึงข้างต้นแล้วจะเห็นว่า ผลการตรวจพิสูจน์คำท้าของกองพิสูจน์หลักฐานของกรมตำรวจ ซึ่งตรวจพิสูจน์ได้เพียง ๔ ฉบับ ว่าไม่ใช่ลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ทั้งซ้ายและขวา แต่ฉบับที่ ๕ เลอะเลือน ไม่อาจตรวจลงความเห็นได้ จึงไม่ครบถ้วนตรงตามคำท้าของฝ่ายจำเลยที่ว่า จะถือว่าจำเลยแพ้คดีก็ต่อเมื่อ ไม่น่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ทั้งหมดเท่านั้น ตามที่โจทก์ฎีกาว่าสำหรับเอกสารสัญญาฉบับที่ ๕ ที่พิสูจน์ไม่ได้เพราะเลอะเลือนนั้น ก็เป็นคู่ฉบับของเอกสารฉบับที่ ๑ นั้นเอง เมื่อพิสูจน์เอกสารฉบับที่ ๑ แล้ว ปรากฏว่าไม่ใช่ลายนิ้วมือของโจทก์ก็เท่ากับพิสูจน์เอกสารได้ครบถ้วนทุกฉบับแล้วนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะไม่ตรงตามคำท้าที่คู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงกัน ด้วยเหตุผลดังกล่าวคำท้าของโจทก์และจำเลยย่อมเป็นอันตกไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วให้ดำเนินการสืบพยานและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share