คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1115/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ใดแจ้งข้อความไม่ตรงต่อความจริง โดยผู้นั้นรู้อยู่แล้วว่า ข้อความที่แจ้งนั้นเป็นเท็จ ทั้งนี้ เพื่อประสงค์จะหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร คือภาษีอากรฝ่ายสรรพากร ย่อมมีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 แล้ว
จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ได้ยื่นแบบแสดงรายการการค้าทุกเดือนภาษี โดยแสดงรายรับที่ต้องคำนวณเสียภาษีต่ำกว่ารายรับที่ได้รับจากการขายสินค้าประจำเดือนแต่ละเดือน จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ได้รู้เห็นในการยื่นแบบแสดงรายการการค้าเพื่อเสียภาษีทุกฉบับดังนี้ ย่อมถือเป็นการกระทำของจำเลยที่ 2 ด้วย และเป็นการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 แล้ว แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้เป็นผู้ลงนามในแบบแสดงรายการการค้านั้นทุกฉบับก็ตาม
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 2 ซึ่งยกเลิกความในมาตรา 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และบัญญัติความใหม่นั้น มิได้เป็นคุณแก่ผู้กระทำผิด ฉะนั้นเมื่อจำเลยกระทำความผิดก่อนวันใช้บังคับของประกาศดังกล่าว จึงต้องบังคับตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เดิม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการค้า จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการค้าโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการ จำเลยมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการในการประกอบการค้าเป็นรายเดือนภาษี เพื่อชำระภาษีการค้าให้แก่กรมสรรพากรตามที่กำหนดไว้ใน มาตรา 84 แห่งประมวลรัษฎากร จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ในฐานะส่วนตัว ได้ร่วมกันจงใจยื่นแบบแสดงรายการค้าของจำเลยที่ 1 เพื่อชำระภาษีต่อเจ้าพนักงานกรมสรรพากรเป็นเท็จ เป็นจำนวน 25 ครั้ง คือ ภาษีประจำเดือน ตั้งแต่ ธันวาคม 2509 ถึง ธันวาคม 2511 (โจทก์ได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับเวลากระทำผิด จำนวนรายรับที่ต้องคำนวณภาษี และจำนวนภาษีที่ต่ำกว่าความเป็นจริงของแต่ละเดือนไว้แล้วในคำฟ้อง) ทั้งนี้ โดยจำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วและร่วมกันจงใจ ยื่นแบบแสดงรายการการค้าด้วยการแจ้งข้อความเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรแก่กรมสรรพากร รวมค่าภาษีอากรที่จำเลยทั้งสองแจ้งเท็จต่ำกว่าความจริงเป็นเงิน 12,720,694.72 บาท กรมสรรพากรได้แจ้งการประเมินภาษีการค้าให้จำเลยทราบ และให้จำเลยนำเงินค่าภาษีที่หลีกเลี่ยงไปชำระภายในกำหนดแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมชำระ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37, 77, 80, 84, 85, 85 ทวิประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 2

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยได้ร่วมกันจงใจยื่นแบบแสดงรายการการค้าด้วยการแจ้งข้อความเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรแก่กรมสรรพากรจริงดังฟ้อง แต่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกกิจการแล้ว คดีเฉพาะจำเลยที่ 1จึงเป็นอันระงับ คงลงโทษเฉพาะจำเลยที่ 2 ผู้เดียว ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37, 77, 80, 84, 85, 85 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 2 การกระทำผิดของจำเลยแยกเป็นรายกรรมได้ 25 กรรม จำคุกกรรมละ 3 เดือน รวมจำคุก 6 ปี 3 เดือน จำเลยนำสืบรับ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 2 เดือน

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลรัษฎากร มาตรา 37 บัญญัติว่า “ผู้ใด (1)โดยรู้อยู่แล้วหรือโดยจงใจ แจ้งข้อความเท็จ ฯลฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามลักษณะนี้ ฯลฯ ต้องระวางโทษ” ฉะนั้น หากผู้ใดแจ้งข้อความไม่ตรงต่อความจริง โดยผู้นั้นรู้อยู่แล้วว่า ข้อความที่แจ้งนั้นเป็นเท็จ ทั้งนี้ เพื่อประสงค์จะหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรตามลักษณะ 2 คือ ภาษีอากรฝ่ายสรรพากรย่อมมีความผิดแล้ว และการแจ้งข้อความเท็จเช่นนี้ย่อมทำให้รัฐเสียหายกล่าวคือขาดรายได้อันควรได้ไป ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า เมื่อแจ้งการประเมินเสียภาษีการค้าต่ำกว่ารายรับจริง เจ้าพนักงานประเมินก็มีอำนาจแก้จำนวนเงินที่ประเมินได้นั้น ก็เป็นเรื่องการแก้ไขเพื่อให้รายได้ที่ขาดไปคืนมาเท่านั้น หาใช่เป็นกรณีที่บัญญัติว่าการกระทำอย่างไรเป็นความผิดหรือไม่เป็นความผิดไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 ทราบรายรับของจำเลยที่ 1 ดีอยู่แล้ว กลับยื่นแสดงรายการการค้า แจ้งจำนวนรายรับที่ต้องคำนวณเสียภาษีต่ำกว่ารายรับจริงเป็นเวลาถึง 25 เดือน แสดงว่าจำเลยที่ 2 จงใจแจ้งข้อความเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีเช่นนี้ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดตามประมวลรัษฎากรมาตรา 37 แล้ว

เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้ยื่นแบบแสดงรายการการค้าทุกเดือนภาษี โดยแสดงรายรับที่ต้องคำนวณเสียภาษีต่ำกว่ารายรับที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากการขายสินค้าประจำเดือนแต่ละเดือนจริง และฟังว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้รู้เห็นในการยื่นแบบแสดงรายการค้าเพื่อเสียภาษีทุกฉบับเช่นนี้แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1เช่นว่านั้น ย่อมถือเป็นการกระทำของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นผู้แสดงออกซึ่งความประสงค์ของจำเลยที่ 1 และเป็นผู้ดำเนินงานแทนจำเลยที่ 1 ด้วยจึงเป็นการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 แล้ว แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้เป็นผู้ลงนามในแบบแสดงรายการการค้านั้นทุกฉบับก็ตาม

ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 ได้กระทำความผิดก่อนวันใช้บังคับของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2 และโดยที่ ข้อ 2แห่งประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว ยกเลิกความในมาตรา 91 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและบัญญัติใหม่ว่า ผู้ใดได้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ศาลลงโทษผู้นั้นทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป จึงถือว่าประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้มิได้เป็นคุณแก่ผู้กระทำผิด เพราะมาตรา 91แห่งประมวลกฎหมายอาญา อันเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะที่จำเลยกระทำผิดบัญญัติว่า ความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลจะลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป หรือจะลงโทษเฉพาะกระทงที่หนักที่สุดก็ได้ ดังนั้น คดีนี้จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เดิม

พิพากษาแก้ เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 เรียงกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share