คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้สัญญาประกันภัยจะไม่คุ้มครองการทำร้ายหรือฆาตกรรมก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าคนที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เอาประกันเป็นใครและยังฟังไม่ได้แน่ชัดว่าผู้เอาประกันถึงแก่ความตายเพราะถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงนับว่าการตายของผู้เอาประกันเกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุผู้รับประกันภัยคุ้มครองมรณกรรมเนื่องจากอุบัติเหตุจะปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่.
เมื่อผู้รับประโยชน์จากสัญญาประกันได้แจ้งให้ผู้รับประกันทราบถึงอุบัติเหตุและได้ส่งหลักฐานความเสียหายไปให้ผู้รับประกันภัยครบถ้วนแล้ว ผู้รับประกันเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ยอมจ่ายเงินให้ผู้รับประโยชน์ผู้รับประโยชน์จึงมีสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยของเงินที่ผู้รับประโยชน์มีสิทธิได้รับ นับแต่วันผิดนัด.
ในคดีที่โจทก์ฟ้องและดำเนินคดีอย่างคนอนาถามาโดยตลอดค่าธรรมเนียมในศาลที่จำเลยจะต้องใช้แทนโจทก์ชั้นศาล ต้องสั่งให้จำเลยชำระต่อศาลในนามของโจทก์ ตามป.วิ.พ. มาตรา 158.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นภริยานายโสภณ กันทสัย เมื่อวันที่13 สิงหาคม 2523 นายโสภณได้ขอประกันชีวิตแบบตลอดชีพในวงเงิน1,000,000 บาท และคุ้มครองมรณกรรมเนื่องจากอุบัติเหตุมีค่าชดเชยอุบัติเหตุอีก 1,000,000 บาท โดยผ่านบริษัทจำเลยสาขาชัยนาทโดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2523เวลากลางคืน นายโสภณนั่งรถยนต์โดยมีโจทก์เป็นผู้ขับ โจทก์ได้ขับรถแซงรถจักรยานยนต์ซึ่งมีชายคนหนึ่งเป็นผู้ขับและชายอีกคนหนึ่งนั่งซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์แล่นแฉลบเข้ามาเกือบจะชนรถยนต์นั่งที่โจทก์ขับ นายโสภณร้องตะโกนด่าแม่ชาย 2 คนนั้น รถจักรยานยนต์คันนั้นแล่นตามมาทันที โจทก์ได้ยินเสียงดังคล้ายเสียงปืน 1 นัดรู้สึกตกใจและกลัวจึงเหยียบคันเร่ง ทำให้รถยนต์นั่งที่โจทก์ขับเสียหลักแล่นออกนอกถนนชนเสาปักสัญญาณจราจรบอกทางโค้งริมถนนด้านซ้ายขาดกระเด็นแล้วพลิกคว่ำเป็นเหตุให้นายโสภณถึงแก่ความตายตามสัญญาประกันภัยดังกล่าวจำเลยจะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยเป็นเงิน 1,000,000 บาท และจ่ายค่าชดเชยอุบัติเหตุอีก 1,000,000 บาท โจทก์ติดต่อให้จำเลยจ่ายเงินตามสัญญาประกันภัย จำเลยได้ถ่วงเวลาและไม่ยอมจ่าย โจทก์ขอเรียกดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 2,000,000 บาท คำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 150,000 บาทขอให้พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัย 1,000,000 บาท และค่าชดเชยอุบัติเหตุอีก1,000,000 บาท รวมเป็นเงิน 2,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องอีก 150,000 บาท และให้ชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 2,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2523 นายโสภณขับรถยนต์นั่งคันเกิดเหตุโดยมีโจทก์นั่งทางด้านซ้ายมือจากอำเภอตากฟ้าไปอำเภอตาคลี ครั้นรถแล่นมาใกล้จะถึงวัดเขาชายธง โจทก์ได้ใช้อาวุธปืนของโจทก์ที่มีติดตัวไปยิงศีรษะผู้ตายตรงกกหูซ้าย 1 นัดกระสุนปืนฝังในศีรษะโดยโจทก์วางแผนและไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อโจทก์จะได้รับเงินตามสัญญาประกันภัยจากจำเลย นายโสภณจึงไม่สามารถบังคับรถได้ ทำให้รถเสียหลักแฉลบลงข้างทางชนเสาริมถนนและเสาไฟฟ้าจำเลยจึงไม่จำต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 895 และไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยอุบัติเหตุอีก 1 เท่า ของค่าสินไหมทดแทนเพราะนายโสภณถึงแก่ความตายโดยการฆาตกรรมมิใช่อุบัติเหตุ นายโสภณขอเอาประกันภัยกับบริษัทจำเลยโดยตอบข้อซักถามลงในแบบสอบถามอันเป็นเท็จต่อจำเลย ทำให้จำเลยหลงผิดออกกรมธรรม์ประกันภัยให้ สัญญาประกันภัยที่จำเลยทำกับผู้ตายจึงตกเป็นโมฆะโจทก์นำมาฟ้องร้องไม่ได้ หากศาลจะฟังว่าจำเลยจะต้องชดใช้เงินให้โจทก์ โจทก์ก็มีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทน1,000,000 บาทเท่านั้น ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยอุบัติเหตุและไม่มีสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลย เพราะจำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้บริษัทจำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทน 2,000,000บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่23 กุมภาพันธ์ 2524 ซึ่งเป็นวันครบ 90 วัน นับแต่วันเกิดอุบัติเหตุจนกว่าชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2523 นายโสภณได้สมัครทำประกันชีวิตกับจำเลยแบบตลอดชีวิตในวงเงิน 1,000,000 บาท และมีผลประโยชน์เพิ่มเติมเป็นเงินชดเชยอุบัติเหตุในวงเงิน 1,000,000 บาทโดยยื่นใบสมัครต่อนายสมชายตัวแทนจำเลย ณ สำนักงานบริษัทจำเลยสาขาชัยนาท นายสมชายตรวจสอบแล้วรายงานต่อจำเลยว่านายโสภณมีรายได้ประมาณปีละ 500,000 บาท ประเมินค่าตัวสุทธิ 3,000,000 บาท ปรากฏตามรายงานลับของนายสมชายเอกสารหมาย ป.จ.1 จำเลยออกกรมธรรม์ประกันภัยแบบตลอดชีพในวงเงิน 1,000,000 บาท และค่าชดเชยอุบัติเหตุอีก 1,000,000 บาท โดยระบุให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ปรากฏตามกรมธรรม์ประกันภัยและหนังสือสัญญาเพิ่มเติมประโยชน์อันพึงได้รับเนื่องจากอุบัติเหตุ ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2523 เอกสารหมาย จ.1 นายโสภณชำระเบี้ยประกันภัยราย 6 เดือนงวดแรกแล้วเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2523 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา รถยนต์คันที่โจทก์และนายโสภณนั่งมาด้วยกันเพียง 2 คน เสียหลักแล่นชนเสาป้ายสัญญาณจราจรบอกทางโค้งและต้นไม้ข้างทางพลิกคว่ำตกลงไปข้างถนนนายโสภณถึงแก่ความตายเมื่อเวลา 1.45 นาฬิกา ของวันที่25 พฤศจิกายน 2523 โจทก์ส่งหลักฐานการมรณกรรมของนายโสภณให้จำเลยและเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนและค่าชดเชยอุบัติเหตุแล้วจำเลยไม่ยอมชำระให้…
ที่จำเลยฎีกาว่านายโสภณถึงแก่ความตายเพราะถูกฆาตกรรม จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดจ่ายเงินชดเชยอุบัติเหตุให้โจทก์ 1,000,000 บาทนั้น ตามสัญญาเพิ่มเติมประโยชน์อันพึงได้รับเนื่องจากอุบัติเหตุกำหนดภัยที่มิได้รับความคุ้มครองข้อ (จ) ว่า “การทำร้ายหรือฆาตกรรม”คดีฟังได้ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุที่พนักงานสอบสวนทำขึ้นในสำนวนการสอบสวนในคดีที่โจทก์ตกเป็นผู้ต้องหาข้อหาฆ่านายโสภณโดยเจตนาเอกสารหมาย จ.23 ภาพถ่ายที่เกิดเหตุหมาย จ.24และภาพถ่ายรถยนต์นั่งคันเกิดเหตุหมาย ป.จ.1 ว่า รถยนต์นั่งเริ่มเสียหลักแล่นออกนอกผิวจราจรห่างจุดเริ่มเสียหลัก 15 เมตร แล้วแล่นลงข้างถนน ซึ่งพื้นดินต่ำกว่าท้องถนน ชนต้นไม้และเสาป้ายสัญญาณจราจรบอกทางโค้งหัก สายสลิงโยงเสาไฟฟ้าซึ่งอยู่นอกถนนขาดเฉี่ยวก้อนหินขนาดใหญ่พุ่งข้ามทางเข้าโรงเรียนและเป็นบ้านซึ่งมีความสูงเท่าหรือเกือบเท่าท้องถนน 2 แห่ง แล้วไปหยุดตะแคงข้างห่างจุดที่เริ่มเสียหลัก 185 เมตร หลังคารถบุบมาก ล้อหน้าด้านขวาหลุดน่าเชื่อว่านายโสภณซึ่งนั่งมาในรถโดยไม่ปรากฏว่ามีเข็มขัดนิรภัยหรือสิ่งใดยึดตัวถูกกระทบกระแทกอย่างแรง แพทย์หญิงศรีนาทแพทย์คนสุดท้ายที่รักษานายโสภณได้ออกหนังสือรับรองการตายของนายโสภณและหนังสือแจ้งไปยังนายทะเบียนท้องถิ่นว่านายโสภณถึงแก่ความตายเพราะประสบอุบัติเหตุสมองกระทบกระเทือนมาก เกี่ยวกับรูที่ศีรษะนายโสภณนั้น แพทย์หญิงศรีนาทเบิกความเป็นพยานจำเลยว่ากรณีปกติทั่วไปคนที่ถูกกระแทกที่สมองอย่างรุนแรงก็อาจตายได้คนที่นั่งรถยนต์เมื่อรถชนกันศีรษะถูกกระทบของแข็งอย่างแรงก็อาจถึงแก่ความตายได้ ในกรณีที่ผู้ป่วยถูกยิงกระสุนทะลุสมอง ทางแพทย์สามารถช่วยชีวิตไว้ได้และบางคนที่ถูกผ่าตัดสมองอาจมีชีวิตอยู่ได้แต่ต้องสูญเสียประสาทการควบคุมในส่วนที่ถูกตัดทิ้ง สมองในส่วนที่ถูกกระสุนปืนของนายโสภณสำหรับคนทั่วไปอาจไม่ถึงแก่ความตาย ปรากฏว่าพันตำรวจตรีสุวิทย์ใช้เหล็กแหลมแหย่เข้าไปในรูที่ศีรษะของศพนายโสภณซึ่งเก็บไว้ในห้องดับจิตโดยมิได้กระทำต่อหน้าแพทย์แล้วจึงไปขอให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลช่วยผ่าศพโดยบอกว่าที่ศีรษะมีรอยถูกกระสุนปืน แพทย์หญิงศรีนาทจึงได้ตรวจพิสูจน์ศพอีกครั้งหนึ่งหลังจากชันสูตรพลิกศพไปแล้ว แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้ผ่าเอาวัตถุที่ตุงอยู่ที่หน้าผากซึ่งพันตำรวจตรีสุวิทย์เบิกความว่าเป็นหัวกระสุนปืนออกมา ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้นอกจากจะไม่ปรากฏว่าคนที่ใช้อาวุธปืนยิงนายโสภณเป็นใครแล้ว ยังฟังไม่ได้แน่ชัดว่านายโสภณถึงแก่ความตายเพราะถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิง ดังนั้นจึงนับว่าการตายของนายโสภณเกิดขึ้นโดยอุบัติเหตุ จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดไม่ชดใช้ค่าชดเชยอุบัติเหตุไม่ได้ ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อสมัครเข้าทำประกันชีวิตกับจำเลยนายโสภณให้ถ้อยคำเท็จต่อตัวแทนจำเลยผู้สอบประวัติว่านายโสภณมีรายได้ปีละ 500,000 บาท และมีค่าตัว 3,000,000 บาท ความจริงมีรายได้เพียงเดือนละ 5,000 บาท จำเลยหลงเชื่อจึงออกกรมธรรม์ประกันภัยให้ และจำเลยไม่มีหน้าที่สืบสวนฐานะผู้ขอเอาประกันภัยสัญญาประกันชีวิตระหว่างนายโสภณกับจำเลยจึงเป็นโมฆะนั้น ปรากฏว่านายโสภณเป็นเจ้าของโรงกลึงชื่อโสภณเซอร์วิสอยู่ที่อำเภอตากฟ้าและเป็นตัวแทนจำหน่ายรถไถนาและปูนซิเมนต์ มีสำนักงานขายอยู่ที่อำเภอตาคลี ทั้งเป็นผู้ออกแบบเครื่องจักรกลการเกษตร เช่นเครื่องตัดหญ้า เครื่องหยอดข้าวโพด ซึ่งมีวางขายที่ตลาดตากฟ้าและตลาดตาคลี ที่จำเลยอ้างว่านายโสภณให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเกี่ยวกับรายได้ของนายโสภณต่อตัวแทนจำเลยนั้น ข้อเท็จจริงที่ว่านายโสภณมีรายได้ประมาณปีละ 500,000 บาท และมีค่าตัวสุทธิ3,000,000 บาท ปรากฏในเอกสารหมาย ป.ล.1 ซึ่งเป็นรายงานลับของผู้แทนจำเลยที่แจ้งไปยังจำเลย และตามเอกสารฉบับนี้ที่ว่านายโสภณมีค่าตัวสุทธิ 3,000,000 บาทนั้น เป็นการประเมินของตัวแทนจำเลยเองหาใช่ถ้อยคำที่นายโสภณให้ต่อตัวแทนจำเลยไม่ เป็นหน้าที่ของตัวแทนจำเลยจะต้องสืบสวนฐานะของนายโสภณ เรื่องฐานะของบุคคลในอาชีพต่าง ๆ ที่เปิดเผย ไม่ใช่สิ่งที่จะปกปิดได้โดยง่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งฐานะทางการเงินของนายโสภณ ถ้าหากจำเลยใช้ความระมัดระวังสอดส่องเยี่ยงวิญญูชนแล้วก็ย่อมจะทราบได้ดี และอาชีพของนายโสภณดังกล่าวจำเลยไม่ได้สืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น ฉะนั้นการมีรายได้ปีละ 500,000 บาท มิใช่วิสัยที่ไม่อาจเป็นไปได้ นายโสภณก็ได้ชำระเบี้ยประกันภัยให้จำเลยแล้ว นอกจากนี้นายอภิชัยผู้จัดการสินไหมประกันชีวิตของจำเลยยังเบิกความว่า ครั้งแรกเมื่อผู้เอาประกันชีวิตมีรายได้ถึงขั้นที่จำเลยจะรับประกันภัยในวงเงินที่ระบุไว้แล้วแม้ต่อมาผู้เอาประกันชีวิตมีรายได้ไม่ถึงจำนวนดังกล่าวถ้ายังส่งเบี้ยประกันภัยครบถ้วน จำเลยก็จะรับประกันภัยต่อ ดังนั้นสัญญาประกันชีวิตรายพิพาทจึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 866 จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดตามสัญญาหาได้ไม่ ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่จำต้องชำระดอกเบี้ยให้โจทก์จนกว่าคดีถึงที่สุดนั้น สิทธิเรียกร้องที่จะให้จำเลยจ่ายค่าสินไหมทดแทนและค่าชดเชยอุบัติเหตุมิได้เพิ่งเกิดเมื่อคดีถึงที่สุด คดีนี้เมื่อนายโสภณถึงแก่ความตาย โจทก์ก็ได้แจ้งให้จำเลยทราบและได้ส่งหลักฐานความเสียหายไปให้จำเลยครบถ้วนแล้ว จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ยอมจ่ายเงินให้โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยของเงินที่โจทก์มีสิทธิได้รับ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยชี้ขาดให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2525 ซึ่งเป็นวันที่ครบ90 วัน นับแต่วันเกิดอุบัติเหตุตามที่โจทก์ขอ ศาลฎีกาไม่มีเหตุผลที่จะแก้ไขได้ ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ที่จำเลยฎีกาว่าสำหรับค่าทนายความ จำเลยเห็นว่ายังสูงไปตามที่จำเลยอุทธรณ์นั้น ฎีกาข้อนี้พอเข้าใจได้ว่าจำเลยฎีกาว่าค่าทนายความที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้แทนโจทก์มีจำนวนสูงเกินไป ศาลฎีกาเห็นว่า ค่าทนายความที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้แทนโจทก์ไม่เกินอัตราที่กำหนดไว้ในตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และได้คำนึงถึงเหตุสมควรและความสุจริตในการสู้ความและดำเนินคดีของคู่ความแล้ว เห็นว่าศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความที่พิพากษาให้จำเลยใช้แทนโจทก์เหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
คดีนี้โจทก์ฟ้องและดำเนินคดีอย่างคนอนาถาโดยตลอด ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 100,000 บาทแทนโจทก์โดยมิได้สั่งให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 158 ศาลฎีกาจึงต้องแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ค่าธรรมเนียมในศาลชั้นต้นที่จำเลยจะต้องใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยชำระต่อศาลในนามของโจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share