คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3947/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 38 (2) เจ้าอาวาสมีอำนาจสั่งให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ซึ่งไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาส ออกไปเสียจากวัดได้ดังนั้นเมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาส โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตามบทกฎหมายดังกล่าว กรณีหาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องรับนิคหกรรมเพราะการกระทำล่วงละเมิด พระธรรมวินัย ซึ่งต้องดำเนินการตามหมวด 4 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นพระภิกษุอาศัยอยู่ในวัดโจทก์ ได้ประพฤติตนฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าอาวาสและไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาส โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยอาศัยอยู่ในวัดต่อไป ขอให้ขับไล่จำเลย
จำเลยให้การว่ามิได้ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าอาวาส จำเลยมิได้ประพฤติผิดวินัยอันจะทำให้จำเลยขาดจากพระภิกษุ มีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ควบคุมพระภิกษุอยู่ซึ่งมีบทบัญญัติให้ตั้งอธิการ ตั้งกรรมการ หากพระภิกษุทำผิดขั้นร้ายแรงต้องลาสิกขาบทก็เท่ากับต้องออกจากวัด โจทก์มิได้ทำตามขั้นตอน การนำคดีฟ้องขับไล่พระเป็นการขัดกับศาสนาไม่มีกฎหมายสนับสนุน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการชี้สองสถาน ฟังข้อเท็จจริงแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าจำเลยไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาส ซึ่งตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตรา ๓๘ (๒)เจ้าอาวาสมีอำนาจสั่งให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ซึ่งไม่อยู่ในโอวาทของเจ้าอาวาสออกไปเสียจากวัดได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว กรณีหาใช่เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องรับผิดคหกรรมเพราะการกระทำล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ซึ่งต้องดำเนินการตามหมวด ๔ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์และโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอาศัยบทบัญญัติของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ มิใช่เป็นการฟ้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังจำเลยฎีกาเมื่อโจทก์มีอำนาจฟ้องและจำเลยให้การต่อสู้คดีโจทก์ไว้หลายประเด็น จึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะงดการชี้สองสถานและงดการสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน

Share