คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3942/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 ได้เปิดกิจการรับซื้อใบยาสูบที่โกดังของจำเลยที่ 1โดยแอบอ้างขึ้นป้ายโฆษณาว่าเป็นสถานที่รวบรวมใบยาสูบของบริษัทบ. มีจำเลยที่ 4 ออกทุนให้ดำเนินการแล้วรวบรวมใบยาสูบส่งไปให้ส.กับพวกนำไปขายแก่บริษัทบ.ในโควตาของจำเลยที่ 5ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ไม่เคยค้างชำระค่าใบยาสูบแก่ผู้ขายรายใดผู้เสียหายได้ปลูกใบยาสูบโดยไม่ชอบและได้นำไปขายที่โกดังของจำเลยที่ 1 โดยรู้ดีว่าไม่ใช่สถานที่รับซื้อใบยาสูบของบริษัท บ.แต่ไม่ได้รับชำระค่าใบยาสูบจากจำเลยที่ 1 เพราะ ส. ยังขายใบยาสูบของผู้เสียหายไม่ได้ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวถือได้เพียงว่า จำเลยแอบอ้างชื่อบริษัท บ. ใช้โฆษณาเพื่อให้ประชาชนนำใบยาสูบมาขายให้เท่านั้น จำเลยหาได้มีเจตนาจะไม่ชำระค่าใบยาสูบอันจะถือว่าเป็นการกระทำโดยทุจริตแต่อย่างใดไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนซึ่งเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ไม่ได้ฎีกาให้ไม่ต้องรับโทษด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343, 83 และให้จำเลยทั้งหกร่วมกันคืนหรือใช้ราคาใบยาสูบแห้ง2,462 กิโลกรัม เป็นเงิน 29,491 บาทแก่เจ้าของ
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343, 83 จำคุกคนละ 1 ปี และให้จำเลยทั้งหกคืนใบยาสูบแห้ง2,462 กิโลกรัม แก่ผู้เสียหาย แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า มีการชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายแล้ว 2,949 บาท ดังนั้นหากจำเลยทั้งหกคืนใบยาสูบแห้งไม่ได้ก็ให้ใช้ราคา 26,442 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 6 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 6 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ 4 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงในเบื้องต้นว่า ในฤดูปลูกยาสูบปี2424-2526 จำเลยที่ 1 ได้เปิดกิจการรับซื้อใบยาสูบที่โกดังของจำเลยที่ 1 โดยขึ้นป้ายโฆษณาว่าเป็นสถานที่รวบรวมใบยาสูบของบริษัทใบยาเอเซียอาคเนย์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ปลูกและซื้อใบยาสูบแล้วรวบรวมใบยาสูบส่งไปให้นายสถิตย์กับพวกนำไปขายแก่บริษัทใบยาเอเซียอาคเนย์ จำกัด ในโควตาของจำเลยที่ 5 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ผู้เสียหายทั้ง 13 คน ในคดีนี้นำใยยาสูบไปขายให้จำเลยที่ 1 เมื่อระหว่างปลายเดือนมิถุนายนถึงต้นเดือนกรกฎาคม 2526น้ำหนักรวมกัน 2,462 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 29,491 บาท ตามรายการซื้อใบยาสูบซึ่งจำเลยที่ 6 บุตรจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกให้ครั้นถึงกำหนดชำระราคาจำเลยที่ 1 ผัดผ่อนเรื่อยมา โดยอ้างว่ายังไม่ได้รับเงินค่าใบยาสูบจากนายสถิตย์ ผู้เสียหายจึงไปร้องทุกข์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งหกและนายสถิตย์กับพวกฉ้อโกงประชาชน คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในการปลูกและซื้อขายใบยาสูบมีหลักเกณฑ์ว่าผู้ปลูกและผู้ซื้อจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานสรรพสามิต ก่อนถึงฤดูปลูกยาสูบผู้ซื้อจะต้องแจ้งรายชื่อผู้ปลูกของตนไปยังกรมสรรพสามิตผู้ปลูกกับตัวแทนผู้ซื้อซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนแก่ผู้ปลูก ทั้งจะต้องทำสัญญากันไว้ล่วงหน้า และส่งสำเนาสัญญาไปยังกรมสรรพสามิตจังหวัด สรรพสามิตอำเภอจะออกใบอนุญาตแก่ผู้ปลูกให้ปลูกตามจำนวนที่แต่ละคนได้รับโควตาจากตัวแทนผู้ซื้อผู้ซื้อหรือตัวแทนไม่จำต้องรับซื้อใบยาสูบที่ผู้ปลูกปลูกเกินโควตาผู้เสียหายทุกคนไม่ได้เป็นผู้ปลูกใบยาสูบของบริษัทใบยาเอเซียอาคเนย์ จำกัด ใบยาสูบที่ผู้เสียหายแต่ละรายนำไปขายให้จำเลยที่ 1 บางรายเป็นการปลูกโดยไม่ได้รับการส่งเสริมและไม่ได้รับโควตาจากผู้ซื้อ บางรายปลูกเกินโควตาที่ได้รับจากผู้ซื้อซึ่งเป็นการปลูกโดยไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์ดังกล่าว เมื่อผู้ซื้อรายนั้นไม่รับซื้อ ผู้เสียหายดังกล่าวก็นำใบยาสูบไปขายที่โกดังของจำเลยที่ 1 ไม่ใช่สถานที่รับซื้อใบยาสูบของบริษัทเอเซียอาคเนย์ จำกัด ทั้งก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าใบยาสูบให้แก่ผู้ขายด้วยดีตลอดมา และนายสถิตย์ก็ยังขายใบยาสูบของผู้เสียหายที่ส่งไปขายในช่วงเกิดเหตุไม่ได้ พฤติการณ์ถือได้เพียงว่าจำเลยแอบอ้างชื่อของบริษัทใบยาเอเซียอาคเนย์ จำกัด มาใช้โฆษณาเพื่อให้ประชาชนนำใบยาสูบมาขายให้เท่านั้น จำเลยหาได้มีเจตนาจะไม่ชำระค่าใบยาสูบอันจะถือว่าเป็นการกระทำโดยทุจริตแต่อย่างใดไม่การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งไม่ได้ฎีกาให้ไม่ต้องรับโทษด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share